เกาะบราวน์ซี
50°41′24″N 1°58′16″W / 50.690°N 1.971°W
เกาะบราวน์ซี (อังกฤษ: Brownsea Island) หรือ แบรงก์ซี (Branksea Island) เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในทะเลสาบพูล นอกเขตเมืองพูล จังหวัดดอร์เซต สหราชอาณาจักร ชื่อของเกาะมีที่มาจากภาษาอังกฤษยุคแองโกล-แซกซัน Brūnoces īeg หรือตามภาษาอังกฤษปัจจุบัน Brūnoc's island เกาะบราวน์ซีรู้จักกันดีในฐานะเป็นที่ตั้งค่ายลูกเสือแห่งแรกของโลกโดยโรเบิร์ต เบเดน โพเอลล์ ในปี พ.ศ. 2450 ยังผลให้มีการลูกเสือแพร่หลายในปีถัดมา ปัจจุบันเกาะอยู่ในความดูแลของมูลนิธิแห่งชาติเพื่อสถานที่ประวัติศา่สตร์และความงามธรรมชาติ หรือเนชันนัลทรัสต์[1] เกาะบราวน์ซีมีคู่แฝดคือ เกาะตาตีอู ในประเทศฝรั่งเศส[2]
ข้อมูลทั่วไป
[แก้]เกาะบราวน์ซีเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้งหมด 8 เกาะ ที่ตั้งในทะเลสาบพูล ในเขตอำเภอเพอร์เบก (Purbeck) จังหวัดดอร์เซต แต่สามารถเข้าถึงได้จากทางอำเภอพูลและบอร์นมัท[3][4] บนเกาะเป็นป่าประกอบด้วยต้นสนและโอ๊กประมาณ 500 เอเคอร์ หรือ 1260 ไร่โดยประมาณ นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้า แอ่งน้ำจืดสองแอ่ง มาบน้ำเค็ม หาดกรวด และลานต้นกก ในเวลาฤดูร้อนจะมีนกมาหากินจำนวนมาก ทำให้มีการสร้างบังไพรสำหรับใช้ดูนก[5] พื้นดินของเกาะประกอบด้วยดินทรายผสมตะกอนทับถมจากซากพืชซากสัตว์ที่ตายแล้ว บนเกาะเป็นที่ตั้งของปราสาทบราวน์ซี ซึ่งเป็นป้อมปราการสร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ปัจจุบันปราสาทไม่ได้เปิดให้เข้าชม เนื่องจากให้บริษัทห้างสรรพสินค้าจอห์นลูอีส (John Lewis Partnership) เช่าเป็นโรงแรมสำหรับพนักงาน
นอกเหนือจากพืชพรรณ บนเกาะยังมีสัตว์จำนวนหนึ่ง อาทิ กระรอกแดง ซึ่งอยู่รอดบนเกาะนี้ได้ด้วยเหตุที่ไม่มีกระรอกเทาอาศัยบนเกาะ และเนื่องจากการที่มีคนจำนวนหนึ่งอาศัยบนเกาะ ร่างกายของกระรอกแดงมีเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium leprae ซึ่งก่อให้เกิดโรคเรื้อนในคน[6] นอกเหนือจากกระรอกแดงแล้ว บนเกาะยังมีกวางซิกา ซึ่งว่ายน้ำไปมาระหว่างเกาะและหมู่บ้านอาร์นในเขตตำบลสวอนเนจ นกยูง นกนางนวลแกลบ และนกทะเลชนิดอื่น
ประวัติ
[แก้]ยุคแรก
[แก้]หลักฐานที่บันทึกว่ามีมนุษย์อาศัยบนเกาะบราวน์ซีแรกสุดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ในเวลานั้นมีการสร้างสถานปลีกวิเวกและโรงอุโบสถสำหรับบูชาพระเจ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 1558 พระเจ้าคนุตมหาราชนำทัพไวกิงยกพลขึ้นบก ตั้งค่ายปล้นสะดมเรือที่ผ่านไปมาและชุมชนรอบข้าง[7] ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 11 บรูโน คหบดีชาวตำบลสตัดแลนด์ (Studland) ครั้นรัชสมัยพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตยึดครองอังกฤษ เกาะนี้ก็ตกเป็นทรัพย์สินร่วมกับน้องชายต่างมารดาคือโรเบิร์ต เดอ มอร์เทน ล่วง พ.ศ.1697 สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ผู้สร้างปราสาทโดเวอร์ ก็มีการมอบสิทธิ์ให้ชาวเกาะยึดเอาของจากเรืออัปปางที่ถูกซัดเกยตื้น[8]
ยุคทิวดอร์และสงครามกลางเมือง
[แก้]ในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 มีการยุบอาราม เพื่อนำทรัพย์สินขายใช้ในการศึกสงคราม พระองค์เห็นความสำคัญของเกาะในฐานะจุดยุทธศาสตร์ จึงมีพระราชโองการให้สร้างป้อมปราการขนาดย่อมขึ้นบนยเกาะนอกเหนือจากป้อมปราการริมฝั่งตามหัวเมืองต่าง ๆ ป้อมเหล่านี้เรียกว่า ปราสาทเฮนริเชียน (Henrician Castle) สำหรับป้อมปราการบนเกาะนั้น คือ ปราสาทบราวน์ซี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2090 เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 8 สิ้นพระชนม์ ราชสมบัติตกแก่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ปราสาทและเกาะถูกยกให้กรมวังคนสนิทชื่อเซอร์คริสโตเฟอร์ แฮตตัน (Christopher Hatton) เมื่อ พ.ศ. 2119[9]
ต่อมาในสมัยสงครามกลางเมืองอังกฤษ เมืองพูลเข้ากับฝ่ายรัฐสภากระทำรัฐประหารราชบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 1 เกาะนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ซ่องสุมผู้คน โทมัส ไพรด์ (Thomas Pride) ใช้เกาะนี้เป็นสถานที่เตรียมการยึดรัฐสภา[10] ต่อมา โรเบิร์ต เคลย์ตัน ข้าหลวงนครลอนดอน (ไม่ใช่ผู้ว่าราชการกรุงลอนดอน) ครอบครองเกาะจนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2250 จากนั้นเกาะตกเป็นสมบัติของวิลเลียม เบนสัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในยุคนี้เองที่ปราสาทกลายสภาพจากป้อมปราการเป็นนิวาสสถาน[11]
ยุคอุตสาหกรรม
[แก้]ฮัมฟรีย์ สเติร์ต (Humphrey Sturt) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซื้อเกาะนี้และปรับปรุงให้น่าอยู่อาศัย สิ้นเงินราว 50,000 ปอนด์ทองคำ[12] ต่อมาเกาะตกทอดถึงบุตรของสเติร์ต และถูกขายต่อให้แก่วิลเลียม วอฟ (William Waugh) อดีตจ่าทหารแห่งกองทัพอังกฤษด้วยราคา 13,000 ปอนด์ ด้วยหวังว่าจะได้แหล่งดินขาวในการทำเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูงเทียบเคียงกับดินจากหมู่บ้านฟูร์ซบรูก (Furzebrook)[13] แต่คุณภาพดินที่ได้เหมาะกับเครื่องสุขภัณฑ์ฺในห้องน้ำเท่านั้น ในตอนต้นมีคนงานถึง 200 คน แต่ต่อมาโรงงานก็ถูกปิดร้างในปี พ.ศ.2430[14] ในปัจจุบันมีร่องรอยโรงเผาหม้อดินที่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ บริเวณเดียวกันนั้นมีซากบ้านเรือนสำหรับคนงานพัก ชื่อหมู่บ้านแมรีแลนด์ และเศษหม้อดินแตก ในบริเวณด้านเหนือของเกาะมีบ่อดิน ซึ่งจะขนมาใช้ในการปั้นโดยรถราง ด้านตะวันออกของเกาะ วอฟได้สร้างโบสถ์เซนต์แมรี่ขึ้นตามชื่อของภรรยา โบสถ์นี้ใช้เป็นสถานที่บูชาสำหรับเยาวชนและบุคคลที่เข้าค่ายลูกเสือในสมัยต่อมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากกิจการเครื่องปั้นดินเผาของวอฟล้มละลาย เขาเป็นคนหนี้สินล้นพ้นตัวและต้องลี้ภัยไปยังสเปน เจ้าหนี้ได้ยึดเกาะนั้นขายทอดตลาดให้แก่จอร์จ คาเวนดิช-เบนติงก์ (George Cavendish-Bentinck) องคมนตรีในสมัยนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2416 เบนติงก์ทำการเกษตรโดยเอาวัวเจอร์ซีย์ขึ้นมาเลี้ยงบนเกาะรวมถึงปลูกพืช เขาประดับประดาทางเดินตามเกาะด้วยรูปปั้นแบบอิตาเลียนเรเนอซองส์ ตราบจนปี พ.ศ.2424 สำมะโนประชากรระบุว่ามีประชาชนอาศัยบนเกาะ 270 คน ส่วนใหญ่เป็นคนงานปั้นหม้อ[15] เมื่อเบนติงก์เสียชีวิตในปี พ.ศ.2434 เกาะถูกขายให้เคนเนท โรเบิร์ต บัลโฟร์ (Kenneth Robert Balfour) หลังจากนั้นบนเกาะจากเดิมที่ใช้ตะเกียงน้ำมันก็เริ่มใช้ไฟฟ้าส่องสว่างแทน แต่แล้วปราสาทบราวน์ซีที่ตั้งตระหง่านอยู่ถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ.2439 เป็นผลให้ปราสาทถูกสร้างใหม่ ห้าปีให้หลัง บัลโฟร์ขายเกาะนี้อีกครั้งหนึ่ง[16]
ปัจจุบัน
[แก้]ชาลส์ แวน ราลเต (Charles van Raalte) ซื้อเกาะและปราสาทบราวน์ซีต่อจากบัลโฟร์เพื่อใช้เป็นบ้านพักวันหยุด มีบุคคลสำคัญอาทิ กูลเยลโม มาร์โกนี แวะมาพักอาศัยที่ปราสาท[18] โรเบิร์ต เบเดน-โพเอลล์ ทหารกองทัพอังกฤษ สมาชิกสภาขุนนาง และเพื่อนสนิทของแวนราลเตขอใช้เกาะเป็นสถานที่จัดค่ายลูกเสือกับเด็กชายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมาจากพื้นเพทางสังคมรวมไปถึงถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกัน บางส่วนมาจากกโรงเรียนชายล้วนในกรุงลอนดอน บางส่วนมาจากคนในท้องถิ่น เช่นจากตำบลปาร์กสโตน อำเภอพูล และ ตำบลวินตัน อำเภอบอร์นมัท[19] ค่ายถูกจัดระหว่างวันที่ 1 - 8 สิงหาคม พ.ศ.2450 บรรดาเด็ก ๆ ถูกกำหนดให้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง อาทิ การอยู่ค่ายพักแรม การสังเกตการณ์ พืชพรรณและนานาสัตว์ การช่วยชีวิต และอุดมการณ์ความรักชาติ เมื่อค่ายนี้ประสบผลสำเร็จตามความปรารถนา ปีต่อมาเบเดน-โพเอลล์ได้เผยแพร่หนังสือ การลูกเสือสำหรับเด็กชาย (Scouting for Boys) เป็นผลให้เกิดกองลูกเสือในหลายประเทศ บนเกาะนั้นมีการตั้งค่ายลูกเสือเป็นประจำทุกปีสืบเนื่องจนถึง พ.ศ.2477 ดังเหตุผลที่จะอธิบายต่อไป
บนเกาะ ณ เวลานั้น มีสวนครัวและฟาร์มวัวนม ทำให้มีอาหารรับประทานตลอดเวลาไม่ต้องนำขึ้นมาจากฝั่ง บรรดาคนงานโรงงานปั้นหม้อ แม้ว่าโรงงานจะปิดไปแล้ว ก็ยังอาศัยเกาะเป็นที่เลี้ยงชีพรับใช้เจ้าของเกาะ[20] ไม่นานนัก แวนราลเตถึงแก่กรรมที่กัลกัตตา ประเทศอินเดีย ภรรยาของเขาประมูลขายเกาะนี้ในปี พ.ศ.2470 สองปีต่อมาแมรี บอแนม-คริสตี (Mary Bonham-Christie) ประมูลเกาะได้ในราคา 125,000 ปอนด์ เจ้าของคนใหม่สั่งขับไล่บรรดาผู้พักอาศัยกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ และปล่อยให้พื้นที่การเกษตรกลับคืนเป็นป่าและทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ ล่วงปี พ.ศ. 2477 ป่าบนเกาะถูกไฟเผาทำลายจนเกือบหมด มีเฉพาะปราสาทและกลุ่มอาคารด้านตะวันออกเท่านั้นที่ไม่ถูกไฟไหม้ นางบอนแนม-คริสตีทราบถึงเหตุการณ์จึงสั่งห้ามคนนอกขึ้นเกาะตราบจนสิ้นชีวิตในปี พ.ศ. 2504 ด้วยเหตุที่เธอเป็นคนแล้งน้ำใจอย่างกล้า จึงถูกขนานนามว่า ปีศาจแห่งบราวน์ซี[21] หลานของบอนแนม-คริสตีจ่ายภาษีมรดกโดยการยกเกาะบราวน์ซีให้แก่รัฐบาล ชาวเมืองรอบ ๆ ที่ทราบข่าว นำโดยเฮเลน บรอเทอร์ตัน (Helen Brotherton; พ.ศ.2457 - 2552) ก็เป็นกังวลว่าเกาะนี้จะถูกขายให้แก่นายทุนเพื่อใช้สร้างอสังหาริมทรัพย์ จึงได้ขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิแห่งชาติเพื่อสถานที่ประวัติศาสตร์และความงามธรรมชาติให้เข้าซื้อเกาะ แต่มูลนิธิมีเงื่อนไขว่าจะซื้อถ้ามีเงินลงขันเพียงพอ สุดท้ายมูลนิธีซื้อเกาะได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2505 ด้วยราคา 100,000 ปอนด์[22] มูลนิธิแห่งชาติได้รับเงินสนับสนุนบางส่วนจากบริษัทจอห์นลูอิส และมูลนิธีชีวิตป่าดอร์เซต จึงได้ให้หน่วยงานทั้งสองได้รับสิทธิ์เช่าช่วงเกาะบางส่วน มูลนิธิชีวิตป่าดูแลเกาะทางตอนเหนือ บริเวณที่เป็นป่า มาบ และทุ่งต้นกก ส่วนบริษัทจอห์นลูอิสใช้สิทธิ์ครอบครองปราสาทบราวน์ซีเพื่อใช้เป็นโรงแรมสำหรับพนักงาน ต้นกุหลาบพันปีที่ขึ้นอยู่เต็มและไม่ได้มีมาแต่เดิมก็ถูกถางทิ้ง ป่าที่รกชัฏเกินไปก็ถูกถางเป็นแนวกันไฟ สุดท้ายปีต่อมา โอลาฟ เบเดน-โพเอลล์ ภรรยาของโรเบิร์ต บิดาแห่งการลูกเสือโลก พร้อมด้วยอดีตสมาชิกค่ายลูกเสือแห่งแรกของโลก ได้เปิดเกาะนี้พร้อมกับค่ายลูกเสืออย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2506 เกาะที่แต่เดิมถูกห้ามเข้าก็เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าได้ (มีค่าเข้าชมจำนวนหนึ่ง) ลูกเสือและเนตรนารีที่เคยถูกห้ามขึ้นเกาะทำกิจกรรมก็ได้สิทธิ์คึนมาด้วย จวบจนปัจจุบันมีผู้ขึ้นชมเกาะปีละประมาณ 110,000 คน[23]
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไฟฉายขนาดใหญ่ตั้งไว้ที่ด้านตะวันตกของเกาะเพื่อลวงเครื่องบินของกองบินลุฟต์วัฟเฟอ ออกจากเขตเมืองบอร์นมัทและพูล ในการนี้มีการทำลายบ้านพักของคนงานปั้นหม้อจนเหลือแต่เศษอิฐในปัจจุบัน[24] ตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 มีการจัดแสดงละครกลางแปลงเป็นประจำทุกปี โดยนำบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ มาเล่น
เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550 มีการฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปีการลูกเสือโลก โดยมีลูกเสือและเนตรนารีจากทั่วโลก พร้อมด้วยบรรดาผู้สืบสันดานของโรเบิร์ต โพเอลล์เข้าร่วม[25]
ประมวลภาพ
[แก้]-
โรเบิร์ต เบเดน โพเอลล์ ในฐานะผู้จัดค่ายลูกเสือบนเกาะบราวน์ซีเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2450
-
ซุ้มประตูแบบทิวดอร์เทียม สร้างโดยวิลเลียม วอฟ ราว พ.ศ.2390
-
กระท่อมด้านตะวันออกของเกาะบราน์ซี
-
นกยูงที่อาศัยบนเกาะกำลังรำแพนหาง
-
ป่าสนบนเกาะบราวน์ซี
อ้างอิง
[แก้]หมายเหตุ
[แก้]- ↑ National Trust. Brownsea Island
- ↑ "Dorset Twinning Association List". The Dorset Twinning Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2012. สืบค้นเมื่อ 1 August 2013.
- ↑ OS Explorer Map OL15 – Purbeck & South Dorset. Ordnance Survey. 2006. ISBN 978-0-319-23865-3.
- ↑ "Election Maps". Ordnance Survey. สืบค้นเมื่อ 31 March 2010.
- ↑ Brownsea Island National Trust Guide, 1993
- ↑ "UK red squirrels carry 'a form of leprosy' - scientists". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-11-11. สืบค้นเมื่อ 2016-11-13.
- ↑ Sydenham (p.384)
- ↑ Sydenham (p.385)
- ↑ Legg (p.28)
- ↑ Legg (p.33)
- ↑ Legg (p.37–38)
- ↑ Legg (p.41)
- ↑ "Grand industrial plans". National Trust for Places of Historic Interest or Natural Beauty. 2008. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
- ↑ "Part 3 – Mining and quarrying on Brownsea Island". University of Southampton. 2008. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
- ↑ Legg (p.72)
- ↑ "Agriculture and art". National Trust for Places of Historic Interest or Natural Beauty. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2008. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
- ↑ http://www.spanglefish.com/bettyclay/index.asp?pageid=572414
- ↑ "Marconi, a favourite guest". National Trust for Places of Historic Interest or Natural Beauty. 2008. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
- ↑ Woolgar, Brian; La Riviere, Sheila (2002). Why Brownsea? The Beginnings of Scouting. Brownsea Island Scout and Guide Management Committee (re-issue 2007, Wimborne Minster: Minster Press). ISBN 1-899499-16-4.
- ↑ "Ordinary life on the island". National Trust for Places of Historic Interest or Natural Beauty. 2008. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
- ↑ Legg (p.108)
- ↑ Legg (p.130)
- ↑ Legg (p.30)
- ↑ Legg (p.118)
- ↑ "Scouts in centenary celebrations". BBC News. 1 August 2007. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
บรรณานุกรม
[แก้]- Bugler, John; Drew, Gregory (1995). A history of Brownsea Island. Dorset County Library. ISBN 0852167652.
- Legg, Rodney (2005). The Book of Poole Harbour and Town. Halsgrove. ISBN 1-84114-411-8.
- Sydenham, John (1986) [1839]. The History of the Town and County of Poole (2nd ed.). Poole: Poole Historical Trust. ISBN 0-9504914-4-6.
- Dorset County Council, Visitor Numbers at Selected Attractions 1998 to 2002.
- National Trust (ดูแหล่งข้อมูลอื่น).
- Pitt-Rivers, Michael, 1970. Dorset. London: Faber & Faber.