อิจิโย ฮิงูจิ
อิจิโย ฮิงูจิ | |
---|---|
ชื่อท้องถิ่น | 樋口一葉 |
เกิด | นัตสึโกะ ฮิงูจิ 02 พฤษภาคม พ.ศ. 1872 อูจิไซไวโจ เขตชิโยดะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
เสียชีวิต | 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 1896 (24 ปี) โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
ที่ฝังศพ | สุสานยานากะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
นามปากกา | อิจิโย ฮิงูจิ |
อาชีพ | นักเขียน |
สัญชาติ | ญี่ปุ่น |
ช่วงเวลา | ยุคเมจิ |
อิจิโย ฮิงูจิ (ญี่ปุ่น: 樋口一葉; โรมาจิ: Higuchi Ichiyō; 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1872 – 23 พฤศจิกายน 1896) ชื่อจริง นัตสึโกะ ฮิงูจิ (ญี่ปุ่น: 樋口夏子; โรมาจิ: Higuchi Natsuko)[1] หรือ นัตสึ ฮิงูจิ (ญี่ปุ่น: 樋口奈津; โรมาจิ: Higuchi Natsu)[2] เป็นอดีตนักเขียนชาวญี่ปุ่นจากยุคเมจิ และนักเขียนหญิงมืออาชีพคนแรกของวรรณกรรมสมัยใหม่ในประเทศญี่ปุ่น ฮิงูจิมีความเชี่ยวชาญด้านการประพันธ์เรื่องสั้นและบทกวี อีกทั้งยังเป็นนักจดบันทึกประจำวันรวมเรื่อง
ประวัติ
[แก้]ชีวิตช่วงแรก
[แก้]นัตสึโกะ ฮิงูจิ เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1872 ในโตเกียว โดยเป็นลูกคนที่สี่และลูกสาวของที่สอง[3] ของโนริโยชิ ฮิงูจิ และอายาเมะ "ทากิ" ฟูรูยะ[4][5] ผู้ปกครองของเธอมาจากชนบทใกล้จังหวัดยามานาชิ[6] แต่บิดาของเธอพยายามจนได้รับสถานะซามูไรมาในปี 1867[7] อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ครองตำแหน่งอยู่ไม่นานก่อนที่ชนชั้นซามูไรจะถูกโค่นล้มลงในการฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิ การที่ฮิงูจิเติบโตในครอบครัวซามูไรมาก่อนมีอิทธิพลต่อตัวตนของเธอ[8]
ในปี 1886 ฮิงูจิเริ่มศึกษาวากะ (กวีญี่ปุ่น) ที่โรงเรียนเอกชนฮางิโนยะ ดำเนินกิจการโดยอูตาโกะ นากาจิมะ[6][9] เธอได้รับบทเรียนกวีและการบรรยายเกี่ยวกับวรรณกรรมญี่ปุ่นเป็นประจำทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีการประกวดแต่งกวีประจำเดือนที่ทั้งศิษย์เก่าและปัจจุบันสามารถเข้าร่วมการประกวดได้ บทกวีที่สอนในโรงเรียนนี้ส่วนมากเป็นกวีแบบอนุรักษ์นิยมของยุคเฮฮัง[9] ฮิงูจิรู้สึกด้อยกว่านักเรียนคนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชนชั้นสูง[10]
แรงกดดันของฮิงูจิในการเป็นนักเขียนนั้นแจ่มแจ้งมากยิ่งขึ้นในปี 1891 เมื่อเธอเริ่มเขียนไดอารีอย่างจริงจัง ในสมุดของฮิงูจิมีความยาวประมาณ 100 หน้าที่ครอบคลุมชีวิต 5 ปีที่เหลือของเธอ บอกเล่าความรู้สึกของฐานะที่ด้อยกว่าในสังคม ความขลาดของเธอ และความยากจนของครอบครัวที่ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ไดอารีของฮิงูจิเปรียบได้เหมือนสถานที่ที่เธอสามารถยืนยันเจตจำนง ความรู้สึกนึกคิด และมุมมองของเธอที่มีต่อวรรณศิลป์ของผู้อื่นหรือของผู้อื่นที่มีต่อเธอได้[11]
ความพยายามในการเป็นนักเขียน
[แก้]ในปี 1889 สองปีให้หลังการเสียชีวิตของพี่ชายคนโต[12] บิดาของเธอเสียชีวิต[13] อันเป็นผลมาจากการลงทุนธุรกิจที่ล้มเหลวจากขาดแคลนเงินทุน[13] นอกจากนี้คู่หมั้นของเธอที่เป็นนักกฎหมายและว่าที่ผู้ว่าการ ซาบูโร ชิบูยะ ก็ได้บอกเลิกสัญญาหมั้น[12] ฮิงูจิได้ย้ายไปอยู่ที่ฮางิโนยะเพื่อฝึกงานตามคำแนะนำของครู แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนฮิงูจิก็ย้ายออกมาอีกครั้งหลังเธอไม่พอใจในปริมาณงานบ้านที่เธอต้องทำ[14] ฮิงูยิย้ายไปที่ย่านฮงโงพร้อมด้วยมารดาและน้องสาวของเธอ ที่นั่นพวกเธอได้รายได้จากการทอผ้าและบริการซักผ้า[15][16] ฮิงูจิเห็นเพื่อนของเธอที่ประสบความสำเร็จ คาโฮะ มิยาเกะ ผู้แต่งนวนิยาย ยาบุโนะอูงูยซุ (ญี่ปุ่น: 藪の鶯; โรมาจิ: Yabu no Iguisu; นกกระจ้อยญี่ปุ่นในหมู่ไม้) และมิยาเกะที่ได้รับความเคารพยิ่ง ฮิงูจิตัดสินใจที่จะเป็นนักเขียนนวนิยายเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเธอ[17][11]
ความพยายามของฮิงูจิขั้นต้นในการเขียนเรื่องแต่งคือการเขียนในรูปแบบของเรื่องสั้นก่อน ในปี 1891 ฮิงูจิพบกับที่ปรึกษาในอนาคตที่เธอคิดว่าน่าจะคอยให้ความช่วยเหลือเธอได้ โทซุย นาการาอิ ฮิงูจิตกหลุมรักเขาโดยที่ไม่รู้ว่าในอายุ 31 ปีของเขา นาการาอินั้นมีชื่อเสียงจากการชู้สาว อีกทั้งยังไม่รู้ตัวอีกว่าเขาได้เขียนวรรณกรรมชื่อดังที่มุ่งเน้นเพียงแต่ความสนุกเพลิดเพลินของสาธารณชนและไม่ได้หวังว่าวรรณกรรมของเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมที่มีความจริงจัง ที่ปรึกษาของเธอไม่ได้คืนความรักของเธอให้แก่เขา หากแต่ดูแลในฐานะน้องสาวเท่านั้น ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวนี้จะเป็นแก่นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ในงานเขียนของฮิงูจิ[18]
ในเดือนมีนาคม 1892 ฮิงูจิได้ออกวรรณกรรมเรื่องแรกชื่อ ยามิซากูระ (ญี่ปุ่น: 闇桜; โรมาจิ: Yamisakura; ซากูระยามค่ำคืน) ตีพิมพ์ในฉบับแรกของนิตยสารมูซาชิโนะ ภายใต้นามปากกา อิจิโย ฮิงูจิ[19] เรื่องราวจากยุคแรกนี้ (1892–1894) ได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากความยากจนในยุคเฮอัง[20] ฮิงูจิรู้สึกถูกบีบบังคับในการฝึกสอนการเขียนวรรณกรรมคลาสสิก เนื้อเรื่องนั้นไม่แข็งแรง มีการพัฒนาตัวละครเพียงเล็กน้อย และเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนไหวที่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ฮิงูจิเขียนไปอย่างพร้อมกันในไดอารีของเธอ แต่หลังจากนั้นฮิงูจิก็พัฒนาความสามารถของเธออย่างรวดเร็ว ฮิงูจิเริ่มมีแก่นเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เช่น ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมความรักของหญิงสาวโดดเดี่ยวและสวยงามที่สูญเสียบิดามารดาของพวกเธอไป, ชายหนุ่มหล่อที่ทิ้งแฟนสาวของเขาไป (และยังคงอยู่ในเนื้อเรื่องโดยไม่โดดเด่น) และคนขอทานเข้าตาจนที่ตกหลุมรักผู้หญิง อีกหนึ่งแก่นเรื่องที่ฮิงูจิมักใช้คือความทะเยอทะยานและความโหดร้ายของชนชั้นกลางในยุคเมจิ[21]
วรรณกรรมเรื่องอูโมเรงิ (ญี่ปุ่น: うもれ木; โรมาจิ: Umoregi) คือสัญญาณในการเป็นนักเขียนมืออาชีพของฮิงูจิ อูโมเรงิ ถูกตีพิมพ์ในวรสารที่มีชื่อเสียง มิยาโกะโนะฮานะ ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 1892[22] เพียงแค่ 9 เดือนหลังจากเธอได้เริ่มเขียนอย่างจริงจัง ผลงานของฮิงูจิได้รับความสนใจและเธอเองก็ได้รับการยอมรับในฐานะนักเขียนหน้าใหม่[23]
บั้นปลายชีวิต
[แก้]ในปี 1893 ฮิงูจิ มารดา และน้องสาวของเธอย้ายออกมาจากบ้านชนชั้นกลาง และย้ายมาอยู่ในเมืองยากจนที่พวกเขาเปิดร้านเครื่องเขียนก่อนที่จะล้มไป ที่พักอาศัยใหม่ของพวกเขาใช้เวลาเดินทางด้วยการเดิน 5 นาทีจากโยชิวาระ ซึ่งเป็นย่านโคมแดงในโตเกียว ประสบการณ์ของฮิงูจิระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ในละแวกนี้จะถูกนำไปใช้เขียนวรรณกรรมของเธอ[24] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง ทาเกะคูราเบะ (ญี่ปุ่น: たけくらべ; โรมาจิ: Takekurabe)[25]
เรื่องราวชีวิตผู้ใหญ่ของฮิงูจิ (1894–1896) นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ประสบการณ์ที่เธอได้พักอาศัยอยู่ใกล้ย่านโคมแดงและการตระหนักรู้ถึงสภาพอันเลวร้ายของผู้หญิงเท่านั้น[26] แต่โดยอิทธิพลจากเรื่องแต่งของอิฮาระ ไซกากุ นักเขียนในศตวรรษที่ 17 ที่ฮิงูจิได้ค้นพบ[24] วรรณกรรมของฮิงูจิในยุคนี้ เช่น โอสึโงโมริ (ญี่ปุ่น: 大つごもり; โรมาจิ: Ōtsugomori; วันสุดท้ายของปี), นิโงริเอะ (ญี่ปุ่น: にごりえ; โรมาจิ: Nigorie), จูซังยะ (ญี่ปุ่น: 十三夜; โรมาจิ: Jūsanya; คืนที่สิบสาม), ทาเกะคูราเบะ และ วากาเระมิจิ (ญี่ปุ่น: わかれ道; โรมาจิ: Wakaremichi
ความโด่งดังของฮิงูจิจากวรรณกรรมที่ออกล่าสุดของเธอแพร่ไปยังผู้ที่ครองอำนาจในโตเกียวต่าง ๆ ฮิงูจิได้รับการยกย่องว่าเป็น "สตรีคนสุดท้ายของยุคเมจิเก่า"[27] ในบ้านอันเรียบง่ายของฮิงูจิ เธอได้รับการเยี่ยมเยียนโดยนักเขียน นักศึกษากวี ผู้ชื่นชอบในผลงาน นักวิจารณ์ และบรรณาธิการเพื่อขอให้เธอมาร่วมงานด้วย หลังจากฮิงูจิที่มักมีอาการปวดศีรษะอยู่บ่อยครั้ง จึงเลิกการเขียนไป ต่อมาบิดาและพี่ชายคนโตของฮิงูจิที่เป็นวัณโรคมาก่อนหน้าเธอ ก็ทำให้ได้รับเชื้อวัณโรคด้วย[28] ฮิงูจิเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน 1896 ด้วยอายุ 24 ปี[29] ร่างของฮิงูจิถูกฝังไว้ที่สุสานสึกิจิฮงกังจิวาดาโบริในซูงินามิ โตเกียว
งานเขียนคัดสรร
[แก้]ฮิงูจิได้เขียนผลงานเรื่องสั้นทั้งสิ้น 21 เรื่อง กวีเกือบ 4,000 บท รวมถึงเรียงความและไดอารีหลายเล่ม[30] ปีดังต่อไปนี้หมายถึงปีที่มีการตีพิมพ์ครั้งแรก[31]
เรื่องสั้น
[แก้]- 1892: ยามิซากูระ (ญี่ปุ่น: 闇桜; โรมาจิ: Yamisakura; ซากูระยามค่ำคืน)
- 1892: วากาเระจิโมะ (ญี่ปุ่น: 別れ霜; โรมาจิ: Wakarejimo)
- 1892: ทามาดาซูกิ (ญี่ปุ่น: 玉襷; โรมาจิ: Tamadasuki)
- 1892: ซามิดาเระ (ญี่ปุ่น: 五月雨; โรมาจิ: Samidare)
- 1892: เคียวสึกูเอะ (ญี่ปุ่น: 経づくえ; โรมาจิ: Kyōdzuke)
- 1892: อูโมเรงิ (ญี่ปุ่น: うもれ木; โรมาจิ: Umoregi)
- 1893: อากัตสึกิสึกูโยะ (ญี่ปุ่น: 暁月夜; โรมาจิ: Akatsukidzukuyo)
- 1893: ยูกิโนะฮิ (ญี่ปุ่น: 雪の日; วันหิมะตก)
- 1893: โคโตะโนะเนะ (ญี่ปุ่น: 琴の音; โรมาจิ: Koto no Ne; เสียงของโคโตะ)
- 1894: ฮานะโงโมริ (ญี่ปุ่น: 花ごもり; โรมาจิ: Hanagomori)
- 1894: ยามิโยะ (ญี่ปุ่น: やみ夜; โรมาจิ: Yamiyo)
- 1894: โอสึโงโมริ (ญี่ปุ่น: 大つごもり; โรมาจิ: Ōtsugomori; วันสุดท้ายของปี)
- 1895: ทาเกะคูราเบะ (ญี่ปุ่น: たけくらべ; โรมาจิ: Takekurabe)
- 1895: โนกิโมรุสึกิ (ญี่ปุ่น: 軒もる月; โรมาจิ: Nokimorutsuki)
- 1895: ยูกุคูโมะ (ญี่ปุ่น: ゆく雲; โรมาจิ: Yukukumo)
- 1895: อูสึเซมิ (ญี่ปุ่น: うつせみ; โรมาจิ: Utsusemi)
- 1895: นิโงริเอะ (ญี่ปุ่น: にごりえ; โรมาจิ: Nigorie)
- 1895: จูซังยะ (ญี่ปุ่น: 十三夜; โรมาจิ: Jūsanya; คืนที่สิบสาม)
- 1896: โคโนะโกะ (ญี่ปุ่น: この子; โรมาจิ: Konoko)
- 1896: วากาเระมิจิ (ญี่ปุ่น: わかれ道; โรมาจิ: Wakaremichi
- 1896: วาเระคาระ (ญี่ปุ่น: われから; โรมาจิ: Warekara)
การแปล
[แก้]วรรณกรรมของฮิงูจิถูกแปลในหลายภาษา การแปลภาษาอังกฤษครั้งแรกย้อนกลับไปในช่วงปี 1903 (โอสึโงโมริ; ญี่ปุ่น: 大つごもり; โรมาจิ: Ōtsugomori; The Last Day of the Year โดยเทอิ ฟูจิโอะ)[1] ในปี 1981 โรเบิร์ต ลิญงส์ แดนลี่ ได้คัดเลือกวรรณกรรม 9 เรื่องของฮิงูจิและนำมาแปลใหม่อีกครั้
วรรณกรรมบางเรื่องยังถูกแปลจากภาษาญี่ปุ่นคลาสสิกที่ฮิงูจิใช้ในทุกเรื่องที่เธอเขียน[32] มาเป็นภาษาญี่ปุ่นสมัยปัจจุบัน เช่น การแปลของนิโงริเอะ (ญี่ปุ่น: にごりえ; โรมาจิ: Nigorie) โดยฮิโรมิ อิโต[33][34] หรือทาเกะคูราเบะ โดยฟูมิโกะ เอ็นจิ[35]
มรดก
[แก้]ภาพวาดของฮิงูจิถูกนำมาใช้บนธนบัตร 5,000 เยน ในปี 2004 ทำให้ฮิงูตจิเป็นสตรีคนที่สามที่ได้อยู่บนธนบัตรญี่ปุ่นตามหลังจักรพรรดินีจิงงู ในปี 1881 และ มูราซากิ ชิกิบุ ในปี 2000
วรรณกรรมของเธอเรื่องโอสึโงโมริ, นิโงริเอะ, จูซังยะ และทาเกะคูราเบะ มักถูกดัดแปลงไปเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง เช่น An Inlet of Muddy Water (1953, กำกับโดยทาดาชิ อิไม) และ ทาเกะคูราเบะ (1955, กำกับโดยเฮโนซูเกะ โกโช)
ภาพยนตร์ที่อิงจากชีวิตของฮิงูจิเรื่องฮิงูจิ อิจิโย ถูกฉายในปี 1939 นำแสดงโดย อิซูซุ ยามาดะ และกำกับโดยเคียวตาโร นามิกิ[36][37] ฮิงูจิยังเป็นตัวชูโรงในละครเวทีโดยฮิซาชิ อิโนอูเอะ เรื่องซุตซือคาตาโกริ ฮิงูจิ อิจิโย ที่ทำการแสดงครั้งแรกในปี 1984[38]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Danly 1981, p. 3.
- ↑ "Higuchi Ichiyō". Britannica.com. สืบค้นเมื่อ 14 October 2021.
- ↑ Danly 1981, p. 11.
- ↑ Danly 1981, p. 7.
- ↑ "樋口一葉 (Higuchi Ichiy)". Kotobank (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 17 October 2021.
- ↑ 6.0 6.1 Comité franco-japonais de Tokio (January 1936). France-Japon : Bulletin mensuel d'information (ภาษาฝรั่งเศส). p. 40.
- ↑ Danly 1981, p. 9.
- ↑ Ortabasi & Copeland 2006, p. 129.
- ↑ 9.0 9.1 Danly 1981, pp. 15–16.
- ↑ Danly 1981, pp. 16–18.
- ↑ 11.0 11.1 Tanaka 2000, p. 64.
- ↑ 12.0 12.1 Danly 1981, p. 21.
- ↑ 13.0 13.1 Danly 1981, pp. 22–24.
- ↑ Danly 1981, pp. 26–27.
- ↑ Danly 1981, pp. 27–28.
- ↑ Ortabasi & Copeland 2006, p. 130.
- ↑ Danly 1981, pp. 28–29.
- ↑ Danly 1980, p. 50.
- ↑ Danly 1981, p. 52.
- ↑ Danly 1981, p. 60.
- ↑ Danly 1981, p. 82.
- ↑ Danly 1981, p. 75.
- ↑ Tanaka 2000, p. 62.
- ↑ 24.0 24.1 Danly 1981, p. 109.
- ↑ Keene 1956, p. 70.
- ↑ Winston 2004, p. 6.
- ↑ Tanaka 2000, p. 63.
- ↑ Danly 1981, p. 161.
- ↑ Ortabasi & Copeland 2006, p. 131.
- ↑ Danly 1981, pp. vii–viii.
- ↑ Danly 1981, pp. 333–334.
- ↑ Van Compernolle, Timothy J. (1996). The Uses of Memory: The Critique of Modernity in the Fiction of Higuchi Ichiyō. Cambridge (MA) and London: Harvard University Press. p. 6. ISBN 978-0-674-02272-0.
- ↑ Kosaka, Kris (21 July 2018). "Fiercely intelligent and unstoppably prolific, Hiromi Ito is a modern literary provocateur". Japan Times. สืบค้นเมื่อ 22 June 2021.
- ↑ Itō, Hiromi (1996). にごり江 現代語訳 • 樋口一葉 (Nigorie: Modern language translation • Higuchi Ichiyō). Tokyo: Kawadeshobo Shinsha. ISBN 978-4-309-40732-6.
- ↑ Higuchi, Ichiyō; Ōgai, Mori (2009). たけくらべ・山椒大夫 (Nigorie, Sanshō Dayū). แปลโดย Enchi, Fumiko; Teiichi, Hirai. Tokyo: Kodansha. ISBN 978-4-06-282651-8.
- ↑ Galbraith IV, Stuart (2008). The Toho Studios Story: A History and Complete Filmography. Lanham, Toronto, Plymouth: Scarecrow Press. p. 30. ISBN 978-0-8108-6004-9.
- ↑ "樋口一葉 (Higuchi Ichiyō)". Kinenote (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 17 October 2021.
- ↑ "頭痛肩こり樋口一葉 (Zutsuu katakori Higuchi Ichiyō)". Kotobank (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 21 October 2021.
- งานอ้างอิง
- Danly, Robert Lyons (1980). A Study of Higuchi Ichiyō (PhD). Yale University. OCLC 753731293.
- Danly, Robert Lyons (1981). In the Shade of Spring Leaves: The Life and Writings of Higuchi Ichiyō. New Haven: Yale University Press. ISBN 978-0-30002-614-6.
- Keene, Donald (1956). Modern Japanese Literature. New York: Grove Press. ISBN 978-0-80215-095-0.
- Ortabasi, Melek; Copeland, Rebecca L. (2006). The Modern Murasaki: Writing by Women of Meiji Japan. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-23113-775-1.
- Rubin, Jay (2001). Modern Japanese Writers. New York: Charles Scribner's Sons. ISBN 978-0-68480-598-6.
- Tanaka, Yukiko (2000). Women Writers of Meiji and Taishō Japan: Their Lives, Works and Critical Reception, 1868–1926. Jefferson: McFarland. ISBN 978-0-78640-852-8.
- Winston, Leslie (2004). "Female Subject, Interrupted in Higuchi Ichiyō's 'The Thirteenth Night". Japanese Language and Literature. 38 (1): 1–23. doi:10.2307/4141270. JSTOR 4141270.
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
[แก้]- Compernolle, Timothy J. Van. (2004). "Happiness Foreclosed: Sentimentalism, the Suffering Heroine, and Social Critique in Higuchi Ichiyō's 'Jūsan'ya". Journal of Japanese Studies. 30 (2): 353–381.
- Ikuta, Hanayo (1992). Ichiyō to Shigure—denki: Higuchi Ichiyō/Hasegawa Shigure denki sōsho. Tokyo: Ōzorasha.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "List of available e-texts of Ichiyō Higuchi's works". Aozora Bunko (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 22 June 2021.
- "Location of Ichiyō Higuchi's grave". horror-house.jp. สืบค้นเมื่อ 22 June 2021.