อับดุล คาริม
โมฮัมเหม็ด อับดุล คาริม | |
---|---|
منشى عبدالكريم | |
ภาพเหมือนโดย รูดอล์ฟ สโบโบดา | |
เลขานุการชาวอินเดียของ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย | |
ดำรงตำแหน่ง 1892–1901 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 1863 ลลิตปูร์, เมืองนอร์ทเวสเทิร์, บริติชอินเดีย |
เสียชีวิต | 20 สิงหาคม 1909 (อายุ 46)[1] อักกรา, บริติชอินเดีย |
คู่สมรส | ราชิดัน คาริม |
โมฮัมเหม็ด อับดุล คาริม (อังกฤษ: (Mohammed Abdul Karim) เป็นที่รู้จักในชื่อ “มุนชี” เป็นข้ารับใช้ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เขารับใช้พระองค์ในช่วง 14 ปีสุดท้ายของการครองราชย์[2][3][4]
คาริมเป็นบุตรชายของบุรุษพยาบาลที่ Lalitpur ใกล้กับฌางสีในบริติชอินเดีย ในปี 1887 ซึ่งเป็นปีกาญจนาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย คาริมเป็น 1 ใน 2 ของชาวอินเดียที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้รับใช้ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียชอบเขาเป็นอย่างมาก และพระราชทานตำแหน่งมุนชิ ("เสมียน" หรือ "ครู") แก่เขา สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแต่งตั้งให้เขาเป็นเลขานุการชาวอินเดียของพระองค์ พระองค์ให้เกียรติเขา และมอบที่ดินให้เขาในอินเดีย
ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่ใกล้ชิด[5][6] ระหว่างคาริมและพระราชินีทำให้เกิดความขัดแย้งภายในราชวงศ์ ซึ่งสมาชิกคนอื่น ๆ รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าเขา สมเด็จพระราชินียืนกรานที่จะพาคาริมเดินทางไปด้วยซึ่งทำให้เกิดการโต้เถียงระหว่างพระองค์กับข้ารับใช้คนอื่น ๆ หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีาถวิกตอเรียในปี 1901 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทรงส่งคาริมกลับไปยังอินเดียและสั่งให้ทำลายการติดต่อระหว่างมุนซีกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ต่อมาคาริมอาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ใกล้อาครา บนที่ดินที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียจัดเตรียมไว้ให้เขา จนกระทั่งเขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 46 ปี
ประวัติ
[แก้]คาริม เป็นบุตรชายของผู้ช่วยโรงพยาบาลใกล้เมืองฌางสีในบริติชอินเดีย ในปี ค.ศ.1887[7][8]Haji Mohammed Waziruddin พ่อของเขาเป็นผู้ช่วยโรงพยาบาลซึ่งประจำการร่วมกับCentral India Horseซึ่งเป็นกรมทหารม้าของอังกฤษคาริมมีพี่ชายหนึ่งคนคืออับดุล อาซิซและน้องสาวอีกสี่คน เขาได้รับการสอนภาษาเปอร์เซีย และภาษาอูรดูเป็นการส่วนตัว และตอนเป็นวัยรุ่นเขาได้เดินทางข้ามอินเดียเหนือ และไปยังอัฟกานิสถานกับพ่อเขาเพื่อเข้าร่วมในการเดินขบวนไปยังกันดาฮาร์ซึ่งยุติสงครามอังกฤษ-อัฟกานิสถานครั้งที่สองในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1880 หลังสงครามพ่อของคาริมย้ายจากอินเดียตอนกลางไปอยู่ในคุกกลางในเมืองอัคราขณะที่ คาริม ทำงานเป็นเวคิล ให้กับมหาเศรษฐีแห่งจาราหลังจากนั้นสามปีเขาก็ลาออก และย้ายไปที่เมืองอาครา เพื่อเป็นเสมียนพื้นถิ่นที่ห้องขัง พ่อของเขาจัดให้มีการแต่งงานระหว่างคาริมและน้องสาวของเพื่อนคนงาน นักโทษในคุกอักกราได้รับการฝึกฝนและถูกใช้เป็นช่างทอพรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพักฟื้น ในปี 1886 34 นักโทษเดินทางไปลอนดอนเพื่อแสดงให้เห็นพรมทอที่โคโลเนียลและการแสดงนิทรรศการของอินเดียในเซาท์เคนซิงตัน คาริมไม่ได้อยู่ร่วมกับนักโทษ แต่ช่วยผู้กำกับเรือนจำจอห์น ไทเลอร์ในการจัดระเบียบการเดินทางและช่วยเลือกพรมและช่างทอ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเยี่ยมชมนิทรรศการไทเลอร์มอบสร้อยข้อมือทองคำสองเส้นให้เธอเลือกอีกครั้งโดยได้รับความช่วยเหลือจากคาริมอีกครั้งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมีความสนใจที่ยาวนานในดินแดนของอินเดียของเธอและมีความประสงค์จะจ้างคนรับใช้ชาวอินเดียบางอย่างสำหรับเธอเฉลิมพระเกียรติ เธอขอให้ไทเลอร์รับสมัครพนักงานสองคนซึ่งจะได้รับการว่าจ้างเป็นเวลาหนึ่งปี ต่อมาคาริมและเบิกช์ทั้งคู่ก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษในเดือนมิถุนายน ปี 1887 และหลังจากพระราชพิธีซึ่งจัดขึ้นวันที่ 20-21 มิถุนายน ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย คาริมและเบิกช์ก็ได้มาเป็นข้ารับใช้ใหักับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียจากข้ารับใช้ ในระยะเวลาไม่นานนักคาริมก็เลื่อนขั้นเป็น “มุนชี” (อังกฤษ: Munchi) หรืออาจารย์ จากนั้นก็เป็นเสมียน ให้คำแนะนำเรื่องเกี่ยวกับอินเดียถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ได้รับเงินเดือนเดือนละ 12 ปอนด์ ก่อนจะเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกเป็นราชเลขาธิการในปี 1888 วิกตอเรียแต่งตั้งให้เขาเป็นเลขานุการอินเดียอาบน้ำให้เขาด้วยเกียรตินิยมและได้รับมอบที่ดินให้เขาในอินเดีย ความที่พระองค์ทรงสนพระทัยวัฒนธรรมอินเดีย จึงทรงให้คาริมสอนภาษาอูรดู เพื่อจะได้สื่อสารกับเขาได้ รวมทั้งทรงสอบถามเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนในอินเดียจากคาริมอีกด้วย
คาริมและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
[แก้]“เขาคุยกับพระองค์ในแบบเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่แบบข้าราชบริพารกับราชินี ในขณะที่ทุกคนรวมถึงพระราชโอรสและพระราชธิดารักษาระยะห่างกับพระองค์ แต่ชายหนุ่มชาวอินเดียผู้นี้กลับใสบริสุทธิ์ เขาเล่าให้พระองค์ฟังเกี่ยวกับอินเดีย ครอบครัวของเขา และรับฟังเมื่อราชินีทรงเล่าถึงครอบครัวของพระองค์” สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โปรดให้ “มุนชี” ตามเสด็จไปยังหลายประเทศในยุโรป พระราชทานเกียรติยศมากมาย ทรงให้คาริมพำนักที่พระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ(อังกฤษ: Frogmore Cottage) ภายในเขตพระราชฐานพระราชวังวินด์เซอร์ พระราชทานรถม้าส่วนตัว และโปรดให้คาริมกลับเมืองอัครา เพื่อพาภรรยามาพำนักที่อังกฤษกับเขา
ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังรับสั่งให้จิตรกรฝีมือดีวาดภาพของคาริมไว้ประดับตกแต่งอีกด้วย เช่น ปี 1887 ทรงให้ ลอริตส์ เรกเนอร์ ทูเซ็น(อังกฤษ: Laurits Regner Tuxen) จิตรกรชาวเดนมาร์ก วาดภาพคาริมเต็มตัวในรูปแบบสีน้ำมัน
ปี 1888 ทรงให้ รูดอล์ฟ สโวโบดา (อังกฤษ: Rudolph Swoboda) จิตรกรชาวออสเตรีย วาดภาพสีน้ำของคาริมครึ่งตัวในเครื่องแต่งกายแบบอินเดีย จากนั้น ปี 1890 รับสั่งให้ ไฮน์ริช ฟอน แองเจลี(อังกฤษ: Heinrich von Angeli) จิตรกรวาดภาพเหมือนชาวออสเตรีย วาดภาพคาริมครึ่งตัวในรูปแบบสีน้ำมันขึ้นมาอีกภาพ
ในจดหมายที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีถึงจักรพรรดินีเฟรเดอริก พระราชธิดาองค์โตของพระองค์ ระบุว่า “เขา (จิตรกร) ไม่เคยวาดภาพชาวตะวันออกคนใดมาก่อนเลย และถึงกับตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา… ฉันคาดว่าต้องออกมาดีมากๆ เป็นแน่”
เมื่อแองเจลีวาดภาพเสร็จ ตอนแรกพระราชินีไม่ทรงชอบ เพราะคิดว่าภาพดูมืดเกินไป แต่ต่อมาภาพวาดคาริมฝีมือแองเจลีก็ไปประดับอยู่ที่พระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ
วาระสุดท้ายของความสัมพันธ์
[แก้]อย่างไรก็ตาม มิตรภาพระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับคาริม สร้างความไม่พอใจ และอาจเลยเถิดไปถึงขั้นอิจฉาริษยา ให้ข้าราชบริพารในราชสำนักที่แวดล้อมสมเด็จพระราชินี ไม่ว่าจะเป็นการพระราชทานเหรียญตราเกียรติยศ การจัดให้คาริมร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับพวกเขา ที่ถือว่าเป็น ชนชั้นสูง และถือว่าชาวอินเดียเป็นพวกคนป่าเถื่อน ไม่มีอารยะ
ปลายทศวรรษ 1890 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีพระพลานามัยย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ ทรงมีพระราชประสงค์ให้คาริมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมไว้อาลัย ร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และพระสหายกลุ่มเล็กๆ ของพระองค์
แต่หลังจากนั้น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 รับสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าค้นพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ ที่คาริมและครอบครัวพำนัก ทรงให้นำจดหมายที่พระราชมารดาของพระองค์เขียนติดต่อกับคาริมออกมาเผาทิ้งทุกฉบับ และทรงมีพระราชบัญชาให้คาริมและครอบครัวเดินทางกลับอินเดียทันที ส่วน เจ้าหญิงเบียทริเซ (อังกฤษ: Princess Beatrice) พระราชธิดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ก็รับสั่งให้ทำลายหลักฐานที่พระราชมารดาทรงบันทึกถึงคาริมให้สิ้นซาก[9]
ความตาย
[แก้]อับดุล คาริม ใช้ชีวิตอย่างสงบที่ คาริม ลอดจ์ เมืองอัครา บนที่ดินที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียพระราชทานให้ เขาได้รับเงินบำนาญจากอังกฤษ และจากไปเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี 1909 ขณะอายุ 46 ปี
บรรณานุกรม
[แก้]- Anand, Sushila (1996) Indian Sahib: Queen Victoria's Dear Abdul, London: Gerald Duckworth & Co., ISBN 0-7156-2718-X
- Basu, Shrabani (2010) Victoria and Abdul: The True Story of the Queen's Closest Confidant, Stroud, Gloucestershire: The History Press, ISBN 978-0-7524-5364-4
- Hibbert, Christopher (2000) Queen Victoria: A Personal History, London: HarperCollins, ISBN 0-00-638843-4
- Longford, Elizabeth (1964) Victoria R.I., London: Weidenfeld & Nicolson, ISBN 0-297-17001-5
- Nelson, Michael (2007) Queen Victoria and the Discovery of the Riviera, London: Tauris Parke Paperbacks, ISBN 978-1-84511-345-2
- Plumb, J. H. (1977) Royal Heritage: The Story of Britain's Royal Builders and Collectors, London: BBC, ISBN 0-563-17082-4
- Rennell, Tony (2000) Last Days of Glory: The Death of Queen Victoria, New York: St. Martin's Press, ISBN 0-312-30286-X
- Waller, Maureen (2006) Sovereign Ladies: The Six Reigning Queens of England, New York: St. Martin's Press, ISBN 0-312-33801-5
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Qureshi, Siraj (20 April 2016). "Death anniversary of Queen Victoria's personal secretary Munshi Abdul Kareem observed". India Today (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
- ↑ "อับดุล คาริม จากข้ารับใช้ สู่ "มิตรแท้คู่ใจ" ราชินีวิกตอเรีย จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ". 2024-04-25.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Magazine, Smithsonian. "Victoria and Abdul: The Friendship that Scandalized England". Smithsonian Magazine (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Queen Victoria and Abdul: Diaries reveal secrets". BBC News (ภาษาอังกฤษ). 2011-03-14. สืบค้นเมื่อ 2024-04-24.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Miller, Julie (22 September 2017). "Victoria and Abdul: The Truth About the Queen's Controversial Relationship". Vanity Fair. สืบค้นเมื่อ 27 November 2018.
- ↑ Mack, Tom (11 September 2017). "Queen Victoria confidante Abdul Karim's descendant 'honoured' by royal connection". Leicester Mercury. สืบค้นเมื่อ 27 November 2018.
- ↑ "Victoria, Queen of the United Kingdom (1819-1901) - Abdul Karim". www.rct.uk (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Laurits Regner Tuxen (1853-1927) - The Munshi Abdul Karim (1863-1909)". www.rct.uk (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Sanghani, Radhika (2017-07-22). "'How I uncovered the hidden friendship between Queen Victoria and her Indian servant Abdul'". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 2024-04-24.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)