วิลเลียม เมอร์รีย์ เอิร์ลแห่งแมนส์ฟิลด์
เอิร์ลแห่งแมนส์ฟิลด์ | |
---|---|
อธิบดีผู้พิพากษาศาลข้างพระที่นั่ง | |
ดำรงตำแหน่ง 8 พฤศจิกายน 1756 – 4 มิถุนายน 1788 | |
นายกรัฐมนตรี | ดยุกแห่งนิวคาสเซิล |
ก่อนหน้า | เซอร์ ดัดลีย์ ไรเดอร์ |
ถัดไป | ลอร์ดเคเนียน |
ประธานสภาขุนนาง | |
ดำรงตำแหน่ง กุมภาพันธ์ 1783 – 23 ธันวาคม 1783 | |
นายกรัฐมนตรี | ดยุกแห่งพอร์ตแลนด์ |
ก่อนหน้า | เอิร์ลแห่งฮาร์ดวิค |
ถัดไป | เอิร์ลแห่งนอร์ทิงตัน |
อัยการสูงสุดแห่งอังกฤษและเวลส์ | |
ดำรงตำแหน่ง 6 มีนาคม 1754 – 8 พฤศจิกายน 1756 | |
นายกรัฐมนตรี | ดยุกแห่งนิวคาสเซิล |
ก่อนหน้า | เซอร์ ดัดลีย์ ไรเดอร์ |
ถัดไป | เซอร์ รอเบอร์ต เฮนลีย์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 2 มีนาคม ค.ศ. 1705 เพิร์ธเชอร์, สกอตแลนด์ |
เสียชีวิต | 20 มีนาคม ค.ศ. 1793 ลอนดอน, อังกฤษ | (88 ปี)
วิลเลียม เมอร์รีย์ เอิร์ลที่ 1 แห่งแมนส์ฟิลด์ (อังกฤษ: William Murray, 1st Earl of Mansfield) เป็นเนติกร นักการเมือง และผู้พิพากษาชาวอังกฤษ เป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการปฏิรูปกฎหมายจารีตของอังกฤษ เขาเกิดในตระกูลขุนนางสกอตแลนด์ เข้ารับการศึกษาในเมืองเพิร์ทของสกอตแลนด์ก่อนที่จะย้ายไปกรุงลอนดอนเมื่อมีอายุได้ 13 ขวบ และเข้าศึกษาที่โรงเรียนเวสต์มินสเตอร์ และต่อมาเข้าศึกษาที่โบสถ์คริสต์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
เขาเริ่มทำงานการเมืองในปี 1742 จากการได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกในรัฐสภาและได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิบดีกรมอัยการ และกลายเป็นกระบอกเสียงหลักของฝ่ายรัฐบาลในสภาสามัญชนและได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นบุคคลที่มีโวหารคมคาย เขาได้รับแต่งตั้งจากเซอร์ไรเดอร์ให้เป็นอัยการสูงสุดในปี 1754 และได้ขึ้นเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลในอีกไม่กี่เดือนต่อมาหลังการถึงแก่อนิจกรรมของเซอร์ไรเดอร์ และดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 31 ปี เขาได้รับบรรดาศักดิ์ "เอิร์ลแห่งแมนส์ฟิลด์" ในปี 1776
คดีซัมเมอร์เซต
[แก้]ลอร์ดแมนส์ฟิลด์ได้รับการยกย่องเป็นผู้พิพากษาชาวอังกฤษที่ทรงพลังที่สุดแห่งศตวรรษ คำพิพากษาของเขาได้สะท้อนภาพแห่งยุคเรืองปัญญาซึ่งนำมาสู่การล้มเลิกระบบทาสในหมู่เกาะอังกฤษ คำพิพากษาครั้งโด่งดังที่สุดของเขาเกิดขึ้นในปี 1772 ในคดีระหว่างนายซัมเมอร์เซต กับ สจวต (Somerset v Stewart)[1][2] นายเจมส์ ซัมเมอร์เซต เป็นทาสผิวดำแอฟริกาชาวจาเมกาที่ถูกขายให้แก่นายชาลส์ สจวต นายศุลกากรประจำบอสตันในมณฑลแมสซาชูเซตส์เบย์อันเป็นอาณานิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ
ในปี 1771 นายซัมเมอร์เซตได้หลบหนีจากนายสจวตในระหว่างการมาอยู่พำนักในอังกฤษ[1] แต่ก็ถูกจับตัวได้ในเดือนพฤศจิกายน นายสจวตจึงสั่งขังทาสซัมเมอร์เซตไว้ในเรือซึ่งจะมุ่งหน้าไปยังอาณานิคมจาเมกา[1] แต่ก็มีบุคคลจากโบสถ์มาตามตัวนายซัมเมอร์เซตและอ้างว่านายซัมเมอร์เซตได้ทำพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนของคริสตจักรแห่งอังกฤษแล้ว ซึ่งตามจารีตจะถือเป็นคนในบังคับอังกฤษ สุดท้ายมีการยื่นคำร้องต่อศาลข้างพระที่นั่ง (Court of King's Bench) ให้กุมตัวนายซัมเมอร์เซตมายังศาลเพื่อพิจารณาว่าเขาถูกคุมขังโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อและนักกฎหมาย เพราะคำพิพากษาของลอร์ดแมนส์ฟิลด์จะกลายเป็นบรรทัดฐานในภายภาคหน้าต่อไป
เนติกรฝ่ายทาสซัมเมอร์เซตอ้างว่า แม้ในอาณานิคมต่างๆของอังกฤษอาจยินยอมให้มีทาสได้ แต่กลับไม่ปรากฏกฎหมายจารีตหรือบทบัญญัติใดๆในแผ่นดินอังกฤษที่ยอมรับการมีอยู่ของระบบทาส[3] ดั้งนั้นระบบทาสจึงมิชอบด้วยกฎหมาย และยังอ้างว่ากฎหมายหนังสือสัญญา (contract law) ของอังกฤษไม่ยินยอมให้บุคคลใดขายตัวเองเป็นทาสหรือผูดมัดตัวเองโดยปราศจากความเต็มใจ ในขณะที่เนติกรฝ่ายสจวตอ้างว่าความเป็นกรรมสิทธิถือเป็นที่สุด และยังยกกฎหมายซึ่งตราขึ้นในปี 1765 ซึ่งบัญญัติว่า "แผ่นดิน ปราการ และบรรดาทาสทั้งหมดซึ่งมีบริษัทแอฟริกาเป็นเจ้าของถือเป็นกรรมสิทธิในพระองค์"[3] เป็นข้ออ้างว่าราชสำนักอังกฤษยอมรับการมีอยู่ของระบบทาส และยังอ้างอีกว่าอังกฤษอาจตกอยู่ในความปั่นป่วนหากทาสผิวดำทั้งหมดเป็นอิสระ ซึ่งขณะนั้นมีทาสผิวดำในอังกฤษราว 15,000 คน ลอร์ดแมนส์ฟิลด์ได้ให้ความเห็นต่อข้อกังวลดังกล่าวเป็นภาษิตละตินว่า "จงประสาทความยุติธรรม แม้ฟ้าจะถล่มก็ตามที"
คำพิพากษา
[แก้]บารอนแมนส์ฟิลด์ อธิบดีผู้พิพากษาข้างพระที่นั่ง ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1772 ส่วนหนึ่งของคำพิพากษามีดังนี้:
...ชาวต่างด้าวมิอาจถูกจองจำที่นี่โดยอาศัยอำนาจหรือกฎหมายใดซึ่งปรากฏอยู่ในประเทศของพวกเขา อำนาจของเจ้านายเหนือข้ารับใช้นั้นย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ มากบ้างน้อยบ้าง อาจมีหรือไม่มีข้อจำกัด ฉนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวย่อมต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมายของสถานที่ที่จะใช้อำนาจ ที่ว่าสถานะความเป็นทาสเป็นกฎหมายธรรมชาตินั้น มิอาจถูกยกขึ้นอ้างต่อศาลยุติธรรมไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือการอนุมานหลักกฎหมายธรรมชาติหรือกฎหมายการเมืองใดๆ ต้องอ้างกฎหมายลายลักษณ์อักษรเท่านั้นจึงจะฟังขึ้น...ที่นี่ไม่ยอมรับให้เจ้านายใช้กำลังบังคับทาสเพื่อนำไปขายยังต่างแดน...ศาลมิอาจกล่าวว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่ยอมรับหรือชอบด้วยกฎหมายของราชอาณาจักรนี้ ฉนั้น นายผิวดำจะต้องถูกปล่อยตัว
คำพิพากษาของลอร์ดแมนส์ฟิลด์เป็นการรับรองว่า ระบบทาสในอังกฤษและเวลส์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของขบวนการต่อต้านทาส ทาสทั้งหมดราว 15,000 คนในอังกฤษเป็นอิสระทันที อดีตทาสบางส่วนคงอยู่กับเจ้านายเดิมในฐานะคนใช้ที่ได้รับเงินค่าจ้าง[4] คำพิพากษานี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีทาสในเวลาต่อมา และยังมีการนำคำพิพากษานี้ไปอ้างในศาลอาณานิคมต่างๆของอังกฤษโดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ