ลันจ์ไมน์
ลันจ์ไมน์ | |
---|---|
ภาพวาดของลันจ์ไมน์และวิธีการใช้งาน | |
ชนิด | อาวุธต่อต้านรถถังแบบพลีชีพ |
แหล่งกำเนิด | ญี่ปุ่น |
บทบาท | |
ประจำการ | 1944–1975 |
ผู้ใช้งาน | |
สงคราม | |
ประวัติการผลิต | |
ช่วงการออกแบบ | สงครามโลกครั้งที่ 2 |
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล | 14.3 ปอนด์ (6.5 กิโลกรัม) (เฉลี่ย) |
ความยาว | 78 นิ้ว (200 เซนติเมตร) (เฉลี่ย) |
ความสูง | 11.6 นิ้ว (29 เซนติเมตร) (body) |
เส้นผ่าศูนย์กลาง | 8 นิ้ว (20 เซนติเมตร) (body) |
วัตถุระเบิด | TNT |
น้ำหนักวัตถุระเบิด | 6.6 ปอนด์ (3.0 กิโลกรัม) |
กลไกการจุดชนวน | Blasting cap[1] |
ลันจ์ไมน์ (อังกฤษ: lunge mine) คือ อาวุธต่อต้านรถถังแบบพลีชีพที่จักรวรรดิญี่ปุ่นพัฒนาและนำมาใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีลักษณะเป็นระเบิดต่อต้านรถถังความแรงสูงรูปทรงกรวยติดอยู่ตรงปลายด้ามจับที่เป็นไม้ ปกติมักใช้ในหน่วยต่อสู้ระยะประชิดของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น อาวุธชนิดนี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1945 ในปีเดียวกันนั้นเองมันได้นำไปใช้ในเขตปฏิบัติการสงครามแปซิฟิกโดยมุ่งเป้าไปที่ยานเกราะของกองทัพสหรัฐ
การออกแบบ
[แก้]อาวุธมีลักษณะเป็นดินโพรงระเบิดรูปทรงกรวยอยู่ตรงปลายด้ามจับที่เป็นไม้ ตัวระเบิดมีขาสามขายืนออกมาบริเวณฐานทรงกรวย ตัวจุดชนวนระเบิดอยู่ที่ส่วนยอดของรูปกรวย[1] (บริเวณที่ติดกับด้านจับไม้) ระหว่างยอดของทรงกรวยกับด้านจับจะมีเข็มแทงชนวนอยู่ซึ่งเมื่อถอดสลักระเบิดออกแล้วบริเวณนี้จะสามารถเลือนได้ทำให้เข็มแทงฉนวนแทงเข้าไปที่ตัวจุดระเบิด[2]
ตัวระเบิดแบ่งเป็นระเบิดรูปกรวยสูง 11.6 นิ้ว และเส้นผ่านศูนย์กลางที่ฐานกรวยยาว 8 นิ้ว และหนักประมาณ 11 ปอนด์ ขาโลหะสามขายาว 6 นิ้ว (15 ซม.) ส่วนด้ามจับมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.25 นิ้ว ยาว 59 นิ้ว และหนัก 3.3 ปอนด์ ทำให้โดยรวมแล้วมันยาวประมาณ 78 นิ้ว และหนัก 14.3 ปอนด์[2]
การทำงาน
[แก้]การใช้งานลันจ์ไมน์นั้นทหารหรือผู้ใช้งานจะทำการดึงสลักระเบิดออกแล้วทำการวิ่งพุ่งเข้าไปหายานเกราะหรือเป้าหมายด้วยความเร็ว คล้ายกับการวิ่งพุ่งเข้าไปแทงด้วยดาบปลายปืน ลักษณะการจับจะใช้มือข้างหนึ่งจับที่ตรงกลางด้ามจับส่วนอีกมือจับที่ปลายด้านจับที่ใกล้ตัวผู้ถือ เมื่อขาของระเบิดโดนเข้ากับเป้าหมายแล้วด้ามจับที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าจะกดเข้าไปทำให้เข็มจุดชนวนระเบิดแทงเข้าไปที่ตัวจุดระเบิด ซึ่งเมื่อระเบิดแล้วจะทำให้ผู้ใช้และเป้าหมายได้รับความเสียหายจากระเบิด[1]
การใช้งาน
[แก้]กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นนำอาวุธชนิดนี้มาใช้ในเขตปฏิบัติการสงครามแปซิฟิก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ต่อต้านและทำลายยานเกราะของกองทัพสหรัฐ
รายงานข่าวกรองในเดือนมีนาคม 1945 ระบุว่ากองทัพสหรัฐเจอเข้ากับอาวุธชิ้นนี้ครั้งแรกที่เกาะเลย์เต ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นในช่วงยุทธนาวีที่อ่าวเลย์เต
ในประเทศเวียดนามมันเป็นสัญลักษณ์ของสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง โดยเฉพาะในยุทธการที่ฮานอยซึ่งมีภาพที่ เหงียน วัน เทียง (Nguyễn Văn Thiềng) พยายามที่จะใช้มันแต่ว่าระเบิดไม่ทำงาน ทำให้เขาถูกยิงตายไปพร้อมกับความกล้าหาญและเสียสละในท้ายที่สุด[3]
ระเบียงภาพ
[แก้]-
ส่วนประกอบภายในของลันจ์ไมน์
-
ทหารเหวียตมิญ เหงียน วัน เทียง กำลังถือลันจ์ไมน์ที่ถนนฮังเด่าในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1946
-
หุ่นจำลองการใช้ลันจ์ไมน์ของ เหงียน วัน เทียง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 "New Weapons for Jap Tank Hunters (U.S. WWII Intelligence Bulletin, March 1945)". Lone Sentry. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-29. สืบค้นเมื่อ 2017-09-30.
- ↑ 2.0 2.1 Japanese Explosive Ordnance (Bombs, Bomb Fuzes, Land Mines, Grenades, Firing Devices and Sabotage Devices) (PDF) (Report). Washington, D.C.: United States Government Printing Office. 1953. pp. 208–209. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-05-09. สืบค้นเมื่อ 2021-05-09.
- ↑ Explanatory board for replica of lunge mine held by a soldier at Vietnam Military History Museum, Hanoi; verified in December, 2019