ลัทธิขงจื่อใหม่แบบเอโดะ
ลัทธิขงจื่อใหม่แบบเอโดะ เป็นที่รู้จักกันในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า "ชูชิ-งะคุ" (朱子学 - Shushigaku) เป็นสำนักปรัชญาขงจื่อใหม่ที่พัฒนาขึ้นในญี่ปุ่นสมัยเอโดะ ลัทธิขงจื่อใหม่เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นช่วงยุคคามาคุระ หลักปรัชญานี้มีลักษณะที่เน้นความเมตตาและความมีเหตุผลซึ่งเชื่อว่าเราสามารถเข้าใจจักรวาลได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์และขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่จะสร้างความสัมพันธ์อันประสานกลมกลืนกันระหว่างจักรวาลกับปัจเจกบุคคล ในสมัยศตวรรษที่ 17 โชกุนตระกูลโทคุงาวะ ได้นำปรัชญาของลัทธิขงจื่อใหม่มาใช้เป็นหลักการในการปกครองประชาชน นักปราชญ์ขงจื่อใหม่ ได้แก่ Hayashi Razan และ Arai Hakuseki ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างนำลัทธิขงจื่อใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือในปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ตอนต้นอันโดดเด่นของญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์
[แก้]ลัทธิขงจื่อใหม่มีต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์ถังของจีน นักปรัชญาขงจื่ออย่างหานอวี๋และหลี่อ้าวมีอิทธิพลต่อนักปรัชญาขงจื่อใหม่สมัยราชวงศ์ซ่ง [1] โจวตุนอี๋ นักปรัชญาขงจื่อแห่งราชวงศ์ซ่งขึ้นชื่อว่าเป็น "ผู้บุกเบิกลัทธิขงจื่อใหม่" ที่แท้จริงคนแรก โดยใช้แนวคิดอภิปรัชญาของเต๋าเป็นกรอบสำหรับปรัชญาทางจริยธรรม [2] ลัทธิขงจื่อใหม่พัฒนาขึ้นเพื่อฟื้นฟูแนวคิดลัทธิขงจื่อดั้งเดิมและเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกับความคิดของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า แม้ว่านักปรัชญาขงจื่อใหม่จะปฏิเสธอภิปรัชญาของพุทธ แต่ลัทธิขงจื่อใหม่ก็ได้หยิบยืมคำศัพท์และแนวคิดของลัทธิเต๋าและพุทธศาสนามาใช้
ลัทธิขงจื่อได้เข้ามาในญี่ปุ่นในช่วงปลายสมัยคามาคุระ มีการเผยแผ่อันเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับพระภิกษุในการฝึกปฏิบัติของสมาคมวัดเซนอย่าง Five Mountain System (Gozan) ในขณะที่ทฤษฎีของลัทธิขงจื่อใหม่ สำนักเฉิงจูได้รับการถ่ายทอดผ่านคำอธิบายโดยพระ Yishan Yining ซึ่งเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นในปี 1299 จากราชวงศ์หยวน [3] ยิ่งไปกว่านั้นความคิดแบบขงจื่อใหม่ ได้มาจากผลงานของเฉิงอี้, เฉิงฮ่าว และ จูซี และอุดมการณ์ดั้งเดิมของจีนและเกาหลีในเวลานั้น การเฟิ่องฟูของลัทธิขงจื่อใหม่ในญี่ปุ่นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโทกุงาวะ ซึ่งสนับสนุนให้มีการจัดตั้งอุดมการณ์ทางโลกแห่งชาติเพื่อเป็นวิธีการเสริมสร้างกฎหมายที่ใช้ปกครองทางการเมืองในประเทศ ปรัชญาขงจื่อได้เข้ามาถึงญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ในศตวรรษที่ 14 แต่ความรู้เกี่ยวกับลัทธิขงจื่อถูกจำกัดเฉพาะพระเซน ที่เห็นว่าลัทธิขงจื่อมีความน่าสนใจทางสติปัญญา แต่เป็นรองจากนิกายเซน [4] และบางสำนัก เช่น สำนักอาขิคางะ
ผู้บุกเบิกลัทธิขงจื่อของญี่ปุ่น คือ ฟูจิวาระ เซกะ อดีตผู้ปฏิบัติงานปรัชญาเซนที่สนใจในความคิดของขงจื่อ ซึ่งในที่สุดก็ปฏิเสธแนวคิดเซนให้กลายเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของลัทธิขงจื๊อนีโอในญี่ปุ่น [4] ฮายาชิราซัน นักเรียนของฟูจิวาระรับใช้โชกุนโทคุงาวะและโดยการอุปถัมภ์ของรัฐก็สามารถก่อตั้ง สถาบันโชเฮอิโกะ ได้ หลังจากที่ Kansei Edict ได้ กำหนดให้ Neo-Confucianism เป็นอุดมการณ์อย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นสถาบัน Shoheiko ก็ได้กลายเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองแบบลัทธิขงจื้อ แม้ว่าโรงเรียนที่แตกต่างกันของลัทธินีโอ - ขงจื๊อจะถูกห้ามอย่างเป็นทางการ แต่โรงเรียนยังคงอยู่ในญี่ปุ่น นักปรัชญาชาวญี่ปุ่น Toju Nakae เป็นหนึ่งในกรณีเช่นนี้ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก heterodox Wang Yangming มากกว่าที่เขาเป็นดั้งเดิมของ Zhu Xi [5]
ในศตวรรษที่ 17 และ 18 มีการเฟื่องฟูของสำนักปรัชญาโคคุงาคุซึ่งท้าทายลัทธิขงจื่อใหม่ในญี่ปุ่น ผู้สนับสนุนสำนักโคคุงาคุ Kokugaku โต้แย้งว่าชาวญี่ปุ่นโบราณเป็นตัวแทนของคุณธรรมของขงจื่อได้ดีกว่าชาวจีนโบราณ และควรให้ความสำคัญกับปัญญามากกว่าตำนานคลาสสิกของญี่ปุ่นโบราณและศาสนาชินโตซึ่งเป็นศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่น [6] แม้ว่าคู่แข่งทางปรัชญาระหว่างสำนักโคคุงาคุ (Kokugaku) และ ลัทธิขงจื่อใหม่ (Neo-Confucianism) จะดำรงอยู่ร่วมกันในฐานะแนวคิดทางปรัชญาที่โดดเด่นของญี่ปุ่นจนกระทั่งการได้รับอิทธิพลจากปรัชญาตะวันตกในยุคเมจิ
ปรัชญา
[แก้]เช่นเดียวกับลัทธิขงจื่อแบบจีนและเกาหลี ลัทธิขงจื่อใหม่แบบเอโดะ (Edo Neo-Confucianism) เป็นปรัชญาสังคมและจริยศาสตร์ที่อยุ่บนฐานของแนวคิดอภิปรัชญา ปรัชญามีลักษณะแนวคิดแบบมนุษยนิยมและเหตุผลนิยมโดยมีความเชื่อว่าเราสามารถเข้าใจจักรวาลได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ และขึ้นอยู่กับตัวมนุษย์ที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ประสานกลมกลืนกันระหว่างจักรวาลและปัจเจกบุคคล [3]
สำนักเหตุผลนิยม (หลี่เสว) ของลัทธิขงจื่อใหม่ตรงกันข้ามกับลัทธิรหัสยนัยของศาสนาพุทธนิกายเซนที่มีอิทธิพลก่อนหน้านี้ในญี่ปุ่น นักปรัชญาขงจื่อใหม่เชื่อว่ามนุษย์มีตัวตนอยู่จริง และมนุษยชาติสามารถเข้าใจการดำรงอยู่ของมนุษย์ได้ แม้ว่าการตีความของความเป็นจริงขึ้นอยู่กับปรัชญาขงจือใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากศาสนาพุทธ [3]
แต่จิตวิญญาณของนักปรัชญาขงจื่อใหม่ สำนักเหตุผลนิยม ได้คัดค้านแนวคิดรหัสยนัยของพุทธศาสนา ในขณะที่ศาสนาพุทธยังยืนยันในเรื่องของความเป็นสูญญตาของสรรพสิ่ง ลัทธิขงจื่อใหม่ได้เน้นย้ำในความเป็นจริง ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋ามุ่งเน้นให้มนุษย์ละตัวตน และหันกลับไปหาสู่ความไม่มีตัวตน ลัทธิขงจื่อใหม่เห็นว่าความเป็นจริงเป็นการทำให้เป็นจริงของขั้นสูงสุดอย่างค่อยเป็นค่อยไป... ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเน้นการทำสมาธิ เพื่อเห็นแจ้งและบรรลุในเหตุผลสูงสุด นักปรัชญาขงจื่อใหม่จึงเลือกที่จะนำแนวคิดเหตุผลของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋ามาสร้างคำอธิบายอภิปรัชญาในลัทธิขงจื่อ
ปรัชญาในแง่มุมทางสังคมมีการจัดลำดับชั้นโดยเน้นที่ความกตัญญู สิ่งนี้ก่อให้เกิดการจัดลำดับชั้นทางสังคมแบบขงจื่อในสังคมเอโดะที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน โดยในสังคมญี่ปุ่นได้แบ่งออกเป็น 4 ชนชั้นหลัก ได้แก่ ซามูไร ซึ่งถืิอว่าเทียบเท่ากับปัญญาชนและขุนนางในราชสำนักของจีนที่อยู่ด้านบนสุดของลำดับชั้นทางสังคม จากนั้นก็คือ ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า [7] ซามูไรเป็นนักอ่านตัวยงและเป็นครูสอนแนวคิดของลัทธิขงจื่อในญี่ปุ่น โดยได้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาขงจื่อขึ้นเป็นจำนวนมาก
ลัทธิขงจื่อใหม่ได้นำองค์ประกอบของแนวคิดชาติพันธุ์นิยมเข้ามาในญี่ปุ่น ในขณะที่ลัทธิขงจื่อใหม่ของจีนถือว่าวัฒนธรรมของตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก นักปรัชญาขงจื่อใหม่ชาวญี่ปุ่นได้พัฒนามาเป็นความภาคภูมิใจในชาติของตนเองที่คล้ายคลึงกับจีน [3] ความภาคภูมิใจของชาตินี้จะพัฒนาไปสู่สำนักปรัชญาโคคุงาคุซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นปฏิกิริยากับลัทธิขงจื่อใหม่และได้รับรู้ว่าแนวคิดที่มีต้นกำเนิดมาจากจีนเป็นปรัชญาที่โดดเด่นของญี่ปุ่น
นักปรัชญาขงจื่อใหม่ชาวญี่ปุ่น
[แก้]- Fujiwara Seika (1561–1619)
- Hayashi Razan (1583–1657)
- Nakai Tōju (1608–1648)
- Yamazaki Ansai (1619–1682)
- Kumazawa Banzan (1619–1691)
- Kinoshita Jun'an (1621–1698)
- Yamaga Sokō (1622–1685)
- Itō Jinsai (1627–1705)
- Kaibara Ekken (aka Ekiken) (1630–1714)
- Satō Naokata (1650?–1719)
- Asami Keisai (1652–1712)
- Arai Hakuseki (1657–1725)
- Muro Kyūsō (1658–1734)
- Miyake Sekian (1665–1730)
- Ogyū Sorai (1666–1728)
- Amenomori Hōshū (1668–1755)
- Itō Tōgai (1670–1736)
- Matsumiya Kanzan (1686–1780)
- Goi Ranshū (1697–1762)
- Nakai Chikuzan (1730–1804)
- Hosoi Heishu (1728–1801)
- Ōshio Heihachirō (1793–1837)
- Yamada Hōkoku (1805–1877)
ดูเพิ่มเติม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Huang 1999.
- ↑ Chan 2002 .
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Craig 1998.
- ↑ 4.0 4.1 Tsutsui 2009.
- ↑ Tsutsui 2009.
- ↑ Tsutsui 2009.
- ↑ Craig 1998.
อ้างอิง
[แก้]- Chan, Wing-tsit (1963), A Sourcebook of Chinese Philosophy, Princeton: Princeton University Press, ISBN 978-0-691-07137-4
- Chang, Wing-tsit (1946), China. Berkeley and Los Angeles: University of California Press.
- Craig, Edward (1998), Routledge Encyclopedia of Philosophy, Volume 7, Taylor & Francis, ISBN 978-0-415-07310-3
- Huang, Siu-chi (1999), Essentials of Neo-Confucianism: Eight Major Philosophers of the Song and Ming Periods, Westport: Greenwood Press, ISBN 978-0-313-26449-8
- Tsutsui, William H. (2009), A Companion to Japanese History, John Wiley & Sons, ISBN 978-1-4051-9339-9