ข้ามไปเนื้อหา

ยูเนียนแปซิฟิก ชาลเลนเจอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยูเนียนแปซิฟิก ชาลเลนเจอร์
ยูเนียนแปซิฟิก 3985 วิ่งผ่านออลตัน รัฐไอโอวา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2008
ประเภทและที่มา
ประเภทเครื่องยนต์ไอน้ำ
ผู้ออกแบบชั้น CSA : อาร์เทอร์ เอช. เฟตเตอร์ 
ชั้น 4664  : อ็อทโท ยาเบลมันน์
ผู้สร้างอเมริกันโลโคโมทีฟ (ALCO)
วันสร้าง1936–1944
จำนวนผลิต105 + (6 คันสำหรับเดนเวอร์แอนด์รีโอแกรนด์เวสเทิร์น)
คุณลักษณะ
การกำหนดค่า:
 • Whyte4-6-6-4
 • UIC(2′C)C2′ h4g
ช่วงกว้างราง4 ft 8 12 in (1,435 mm) สแตนดาร์ดเกจ
Driver dia.69 นิ้ว (1,753 มิลลิเมตร)
ฐานล้อ60 ฟุต 4 12 นิ้ว (18.402 เมตร) รถจักร
121 ฟุต 10 78 นิ้ว (37.157 เมตร) รถจักร + ตู้เชื้อเพลิง
น้ำหนักยึดเกาะ4664-3/4 : 403,700 ปอนด์ (183,115 กิโลกรัม)
4664-5 : 406,200 ปอนด์ (184,249 กิโลกรัม)
CSA-1/2 : 399,840 ปอนด์ (181,364 กิโลกรัม)
น้ำหนักรถจักร4664-3/4 : 627,000 ปอนด์ (284,000 กิโลกรัม)
4664-5 : 634,500 ปอนด์ (287,800 กิโลกรัม) CSA-1/2 : 566,950 ปอนด์ (257,160 กิโลกรัม)
Tender weight4664-3/4 : 436,500 ปอนด์ (198,000 กิโลกรัม)
4664-5 : 434,500 ปอนด์ (197,086 กิโลกรัม)
CSA-1/2 : 322,600 ปอนด์ (146,329 กิโลกรัม)
น้ำหนักรวม4664-3/4 : 1,063,500 ปอนด์ (482,400 กิโลกรัม)
4664-5 : 1,069,000 ปอนด์ (484,890 กิโลกรัม)
CSA-1/2 : 889,550 ปอนด์ (403,493 กิโลกรัม)
ประเภทเชื้อเพลิงถ่านหิน, น้ำมัน
ความจุเชื้อเพลิง32 ชอร์ตตัน (29 ตัน; 29 ลองตัน)
6,450 แกลลอนสหรัฐ (24,400 ลิตร; 5,370 แกลลอนอิมพีเรียล) UP3985
ความจุน้ำ25,000 แกลลอนสหรัฐ (95,000 ลิตร; 21,000 แกลลอนอิมพีเรียล)
Firebox:
 • Firegrate area
4664 : 132 ตารางฟุต (12 ตารางเมตร) (ถอดตะแกรงออกในปี 1990)
CSA-1/2 : 108.25 ตารางฟุต (10 ตารางเมตร)
หม้อไอน้ำ94 นิ้ว (2,400 มิลลิเมตร)
ความดันหม้อไอน้ำ4664-3/4/5 : 280 ปอนด์-แรงต่อตารางนิ้ว (1.93 เมกะปาสกาล)
CSA-1/2 : 255 ปอนด์-แรงต่อตารางนิ้ว (1.76 เมกะปาสกาล)
Heating surface4,795 ตารางฟุต (445.5 ตารางเมตร)
 • Tubes527 ตารางฟุต (49.0 ตารางเมตร)
 • Flues3,687 ตารางฟุต (342.5 ตารางเมตร)
 • Firebox4664-3/4 : 602 ตารางฟุต (55.9 ตารางเมตร)
4664-5 : 602 ตารางฟุต (55.9 ตารางเมตร)
CSA-1/2 = 548 ตารางฟุต (50.9 ตารางเมตร)
Superheater:
 • Heating area2,162 ตารางฟุต (200.9 ตารางเมตร)
ลูกสูบ4
ขนาดลูกสูบ4664-3/4/5 : 21 × 32 นิ้ว (533 × 813 มิลลิเมตร)
CSA-1/2 : 22 × 32 นิ้ว (559 × 813 มิลลิเมตร)
ค่าประสิทธิภาพ
ความเร็วสูงสุด70 ไมล์ต่อชั่วโมง (110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
แรงฉุด4664-3/4/5 : 97,352 ปอนด์-แรง (433.04 กิโลนิวตัน)
CSA-1/2 : 97,305 ปอนด์-แรง (432.83 กิโลนิวตัน)
แฟคเตอร์ยึดเกาะ4664-3/4 : 4.15
4664-5 : 4.17
CSA-1/2 : 4.11
การบริการ
ผู้ให้บริการยูเนียนแปซิฟิกเรลโรด
ระดับชั้นCSA-1, CSA-2, 4664-3, 4664-4, 4664-5
เก็บรักษา2 (หมายเลข 3985 และ 3977)
คืนค่าหมายเลข 3985; เมษายน 1981
การจัดการหมายเลข 3985 อยู่ระหว่างการบูรณะ, หมายเลข 3977 ถูกจัดแสดง ที่เหลือถูกทำลาย

ยูเนียนแปซิฟิก ชาลเลนเจอร์ (อังกฤษ: Union Pacific Challenger) เป็นรถจักรไอน้ำข้อต่อแบบง่ายชนิด 4-6-6-4 ผลิตโดยบริษัทอเมริกันโลโคโมทีฟ (ALCO) ระหว่างปี ค.ศ. 1936 ถึง 1944 และใช้งานโดยยูเนียนแปซิฟิกเรลโรดจนถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950

ชาลเลนเจอร์ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 105 คันใน 5 ชั้น แต่ละคันยาวเกือบ 122 ฟุต (37 เมตร) และหนัก 537 ชอร์ตตัน (487 ตัน) พวกมันถูกใช้งานทั่วไปในระบบรถไฟของยูเนียนแปซิฟิก ส่วนใหญ่ใช้ในการขนส่งสินค้า แต่บางส่วนก็ถูกนำไปใช้กับขบวนรถโดยสารอย่างพอร์ตแลนด์โรส (Portland Rose) และขบวนรถโดยสารอื่น ๆ การออกแบบและประสบการณ์การใช้งานของชาลเลนเจอร์ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบรถจักรบิกบอย ในทางกลับกันก็ส่งอิทธิพลต่อการออกแบบชาลเลนเจอร์สามรุ่นสุดท้าย

ปัจจุบันชาลเลนเจอร์ยังคงหลงเหลืออยู่ 2 คัน โดยคันที่โดดเด่นที่สุดคือหมายเลข 3985 ซึ่งได้รับการบูรณะโดยยูเนียนแปซิฟิกในปี ค.ศ. 1981 และนำมาให้บริการนำเที่ยวในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการกองรถไฟมรดก อย่างไรก็ดี ปัญหาทางกลทำให้รถจักรคันนี้ต้องหยุดให้บริการในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 และถูกปลดระวางในเดือนมกราคม ค.ศ. 2020 หลังการบูรณะรถจักรบิกบอยหมายเลข 4014 เสร็จสิ้น[1][2] และท้ายที่สุดก็ถูกบริจาคให้แก่องค์การอนุรักษ์มรดกทางรถไฟมิดเวสต์อเมริกาในปี ค.ศ. 2022 ที่ซึ่งรถจักรคันดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะเป็นครั้งที่สอง[3] ชาลเลนเจอร์อีกคันที่ยังคงเหลืออยู่คือหมายเลข 3977 ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่นอร์ทแพลตต์ รัฐเนแบรสกา

ประวัติ

[แก้]

รายละเอียด

[แก้]

ชื่อ "ชาลเลนเจอร์" นั้นถูกตั้งให้กับรถจักรไอน้ำที่มีรูปแบบล้อ 4-6-6-4 ซึ่งหมายถึงล้อนำ 4 ล้อสำหรับช่วยเข้าโค้ง ล้อขับเคลื่อน 2 ชุด ๆ ละ 6 ล้อ และล้อตาม 4 ล้อ สำหรับรองรับท้ายเครื่องจักรและเรือนไฟขนาดใหญ่ ล้อขับเคลื่อนแต่ละชุดถูกขับด้วยกระบอกสูบไอน้ำสองกระบอก ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเครื่องจักรสองตัวภายใต้หม้อน้ำใบเดียว ยูเนียนแปซิฟิกได้พัฒนารถจักรชาลเลนเจอร์ทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ชนิดเบา CSA-1 และ CSA-2 และชนิดหนัก 4664-3, 4664-4 และ 4664-5

บริษัทต้องการรถจักรที่มีกำลังสูงที่สามารถลากขบวนรถไต่ขึ้นทางชันบนภูเขาด้วยความเร็วสูงได้ ในอดีต รถจักรแบบข้อต่อถูกจำกัดความเร็วให้ต่ำเนื่องจากโครงสร้างของตัวรถ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ชาลเลนเจอร์สามารถทำงานได้ด้วยแรงดันไอน้ำในหม้อน้ำสูงถึง 280 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (1.93 เมกะปาสกาล) ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นค่าที่สงวนไว้สำหรับรถจักรโดยสาร เช่น เอฟอีเอฟซีรีส์ รถจักรเหล่านี้มีล้อขับขนาด 69 นิ้ว (1,800 มิลลิเมตร) ซึ่งเป็นล้อขนาดใหญ่ที่มักพบในรถจักรโดยสารเท่านั้น เพราะโดยทั่วไปแล้วรถจักรสินค้าต้องการแรงบิดมาก ล้อขนาดเล็กจึงให้แรงบิดได้มากกว่า[โปรดขยายความ] ความเร็วเกิน 60 ไมล์ต่อชั่วโมง (100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ที่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบมาก่อนในบริษัทรถไฟอื่น ๆ ที่ใช้รถจักรไอน้ำแบบข้อต่อ กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของยูเนียนแปซิฟิก

เมื่อชาลเลนเจอร์รุ่นแรกให้บริการในปี ค.ศ. 1936 บนเส้นทางสายหลักของยูเนียนแปซิฟิกที่ข้ามเทือกเขาวอแซตช์ระหว่างกรีนริเวอร์กับออกเดิน รถจักรเหล่านี้ก็ประสบปัญหาในการปีนขึ้นทางชัน ตลอดเส้นทางส่วนใหญ่ ความชันสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 0.82 ทั้งขาไปและขากลับ แต่เมื่อปีนขึ้นไปทางทิศตะวันออกจากออกเดินเข้าสู่เทือกเขาวอแซตช์แล้ว ความชันจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.14 การลากขบวนรถบรรทุกที่มีน้ำหนัก 3,600 ชอร์ตตัน (3,300 ตัน; 3,200 ลองตัน) จึงต้องใช้รถจักรสองคันและรถจักรช่วย และการเพิ่มหรือลดรถจักรช่วยเหล่านี้ก็จะทำให้การเดินรถช้าลง ข้อจำกัดเหล่านั้นได้กระตุ้นให้มีการนำบิกบอยมาใช้งานในปี ค.ศ. 1941 รวมถึงการออกแบบใหม่สำหรับชาลเลนเจอร์สามรุ่นสุดท้ายในช่วงปี ค.ศ. 1942 ถึง 1944

โดยอาศัยประสบการณ์จากบิกบอย อ็อทโท ยาเบลมันน์ วิศวกรใหญ่ฝ่ายเครื่องกลของยูเนียนแปซิฟิก ได้ออกแบบชาลเลนเจอร์สามรุ่นสุดท้ายในปี ค.ศ. 1941 ผลลัพธ์ที่ได้คือรถจักรที่สามารถใช้งานได้จริง มีน้ำหนักประมาณ 317 ชอร์ตตัน (288 ตัน; 283 ลองตัน) พร้อมกับตู้เชื้อเพลิงที่มีน้ำหนัก 174 ชอร์ตตัน (158 ตัน; 155 ลองตัน) เมื่อบรรทุกเต็ม 2 ใน 3 แรงฉุดที่คำนวณได้คือ 97,350 ปอนด์-แรง (433.0 กิโลนิวตัน) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 ชาลเลนเจอร์ถูกออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วของขบวนรถสินค้าบนทางชันในรัฐไวโอมิง ส่วนการปีนขึ้นเทือกเขาวอแซตช์ทางทิศตะวันออกจากออกเดินนั้น บิกบอยได้เข้ามาทำหน้าที่แทนโดยไม่ต้องใช้รถจักรช่วย

การสร้าง

[แก้]

รถจักรไอน้ำทั้ง 105 คันถูกสั่งซื้อเป็น 5 รุ่น โดยรุ่นแรกและสองเป็นชาลเลนเจอร์ขนาดเบา และรุ่นสุดท้าย 3 รุ่นเป็นชาลเลนเจอร์ขนาดหนัก เช่นเดียวกับบิกบอย ชาลเลนเจอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่ปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐอเมริกา

ตารางรายละเอียดรถจักร[4]
รุ่น จำนวน ผู้ผลิต หมายเลขที่ผลิต ปีที่สร้าง (ค.ศ.) หมายเลขของยูเนียนแปซิฟิก หมายเหตุ
CSA-1 15 อเมริกันโลโคโมทีฟ 68745–68759 1936 3900–3914 แปลงให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในช่วงปี 1941–43; เปลี่ยนหมายเลขใหม่เป็น 3800–3814 ในปี 1944; ทั้งหมดถูกทำลายระหว่างปี 1957 และ 1958
CSA-2 25 อเมริกันโลโคโมทีฟ 68924–68948 1937 3915–3939 แปลงให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน; เปลี่ยนหมายเลขใหม่เป็น 3815–3839 ในปี 1944; ทั้งหมดทำลายในปี 1958
4664-3 20 อเมริกันโลโคโมทีฟ 69760–69779 1942 3950–3969 หมายเลข 3968 ถูกแปลงให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในปี 1946 และเปลี่ยนหมายเลขเป็น 3944; ในปีเดียวกัน หมายเลข 3967 เคยลากขบวนรถนำเที่ยวของสโมสรรถไฟร็อกกีเมาน์เทน จากเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ไปยังแลรามี รัฐไวโอมิง เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1953;[5][6] ทั้งหมดถูกทำลายระหว่างปี 1958 และ 1959
4664-4 31 อเมริกันโลโคโมทีฟ 70158–70162
70169–70182
70678–70683
1943 3975–3999 มีการสร้างทั้งหมด 31 คัน แต่ส่งมอบให้แก่ยูเนียนแปซิฟิกเพียง 25 คัน (ดูรายละเอียดด้านล่าง); หมายเลข 3975 ถึง 3984 ถูกแปลงให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในปี 1945; เปลี่ยนหมายเลขใหม่เป็น 3708–3717 ในปี 1952; หมายเลข 3985 ให้บริการนำเที่ยวตั้งแต่ปี 1981 ถึง 2010; หมายเลข 3977 ได้รับการอนุรักษ์และจัดแสดงอยู่กับที่; ที่เหลือถูกทำลายในปี 1957
4664-5 20 อเมริกันโลโคโมทีฟ 72792–72811 1944 3930–3949 หมายเลข 3930, 3931, 3932, 3934, 3937, 3938, 3943 และ 3944 ถูกแปลงให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในปี 1952; เปลี่ยนหมายเลขเป็น 3700–3707; ทั้งหมดถูกทำลายระหว่างปี 1957 และ 1959

ในปี ค.ศ. 1943 บริษัทอเมริกันโลโคโมทีฟ (ALCO) ได้ผลิตรถจักรให้แก่ยูเนียนแปซิฟิกจำนวน 31 คัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งซื้อรุ่นที่สี่ของยูเนียนแปซิฟิก โดยใช้แบบแผนและข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคที่เหมือนกันทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หลังจากการผลิตเสร็จสิ้น คณะกรรมการผลิตเพื่อสงครามได้เปลี่ยนการส่งมอบรถจักร 6 คันไปให้บริษัทเดนเวอร์แอนด์รีโอแกรนด์เวสเทิร์นเรลโรด ผ่านการเช่าจากบริษัทโรงงานป้องกันประเทศ กระทรวงการสงคราม รถจักรหมายเลข 3900–3905 ได้ถูกจัดเป็นชั้น L-97 ของรีโอแกรนด์[7] ต่อมารถจักรเหล่านี้ถูกขายให้แก่บริษัทคลินช์ฟีลด์เรลโรดในปี ค.ศ. 1947 และได้รับการเปลี่ยนหมายเลขเป็น 670–675 โดยถูกจัดอยู่ในชั้น E-3 ของคลินช์ฟีลด์ ชาลเลนเจอร์ทั้ง 6 คันนี้ถูกปลดระวางในปี ค.ศ. 1953[8]

การเก็บรักษา

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Keefe, Kevin. "The Challenger at high tide". Classic Trains.
  2. "Union Pacific No. 3985's next stop - Trains Magazine - Trains News Wire, Railroad News, Railroad Industry News, Web Cams, and Forms". cs.trains.com. สืบค้นเมื่อ 2020-04-05.
  3. Glischinski, Steve (April 28, 2022). "Railroading Heritage of Midwest America, Union Pacific agree to donation of Challenger, other locomotives, cars". Trains. Kalmbach Publishing. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 28, 2022. สืบค้นเมื่อ April 28, 2022.
  4. Drury 2015, p. 319.
  5. Wright (1942), p. 413
  6. "Union Pacific's 40th Anniversary Steam Excursion DVD". Pentrex. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 11, 2017. สืบค้นเมื่อ June 14, 2019.
  7. Kalmbach, A.C., บ.ก. (August 1944). "Almost Identical Twins". Trains Magazine. 4: 29.
  8. Solomon 2009, p. 72.