มูนด็อก
Moondog | |
---|---|
![]() | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ชื่อเกิด | Louis Thomas Hardin |
เกิด | 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1916 แมรี่วิลล์ แคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา |
เสียชีวิต | 8 กันยายน ค.ศ. 1999 มึนเสตอร์ ประเทศเยอรมนี | (83 ปี)
แนวเพลง | Avant-garde jazz, minimalism, outsider music |
อาชีพ | Vocalist Percussionist Composer |
เครื่องดนตรี | Keyboard, percussion, vocals |
ช่วงปี | 1932–1999 |
เว็บไซต์ | managarm |
มูนด็อก หรือ หลุยส์ โทมัส ฮาร์ดิน (26 พฤษภาคม 1916 - 8 กันยายน 1999) เป็นนักแต่งเพลงชาวอเมริกันตาบอด โดยยังเป็นนักดนตรี กวี และเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีอีกหลากหลายชนิดด้วย มูนด๊อกย้ายมานิวยอร์กตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม โดยอาศัยตามท้องถนนและแต่งกายเป็นเทพโอดิน ด้วยเครื่องแต่งกายและการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใครของมูนด๊อกทำให้เขาถูกจดจำในชื่อของ "The Viking of 6th Avenue"[1]
บทเพลงของมูนด๊อกส่วนใหญ่ ได้รับแรงบันดาลใจมากจากเสียงบรรยากาศริมถนน อาทิเช่น เสียงรถไฟใต้ดินหรือ เสียงแตร เป็นที่กล่าวกันว่าเพลงของมูนด๊อกจากปีค.ศ. 1940-50 มีอิทธิพลอย่างมากกับนักแต่งเพลงแบบตัดทอนในยุคแรกๆ (minimalist composers)
วัยเด็ก
[แก้]ฮาร์ดินเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสนิกายเอพิสโคพาเลียน ในแมรี่วิลล์ รัฐแคนซัส เมื่ออายุได้ห้าปี เขาเริ่มตีกลองที่สร้างเองจากกระดาษกล่อง ครอบครัวของเขาย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมือง ไวโอมิง และพ่อของเขาได้เปิดกิจการสถานที่ประกอบการค้าของบริษัทใหญ่ๆ ณ เมือง ฟอร์ท บริดเจอร์ ฮาร์ดินเรียนในโรงเรียนตามเมืองเล็กๆ สองสามแห่ง ครั้งหนึ่งพ่อของเขาได้พาฮาร์ดินไปร่วม งานทางศาสนาของชนเผ่าอินเดียนแดงนาม อาราพาโฮ ที่นั่นเขาได้นั่งบนตักของ หัวหน้าเผ่า (Chief Yellow Calf) และเล่นกลองชุดที่สร้างมาจากหนังควาย
ฮาร์ดิน เล่นกลองใน โรงเรียนมัธยมเฮอร์เล่ย์ ก่อนที่เขาจะสูญเสียการมองเห็นจาก อุบัติเหตุในฟาร์มที่เกิดขึ้นจากผงระเบิดไดนาไมท์ ขณะอายุได้สิบหกปี หลังจากที่เขาเรียนทฤษฎีดนตรีในโรงเรียนสำหรับคนตาบอดสองสามแห่งในภาคกลางของประเทศ ฮาร์ดินได้เรียนรู้การแต่งเพลงและฝึกการใช้หู (ear training) ด้วยตนเองถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เรียนกับ เบอร์เน็ต ทัทฮิลล์ ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดโลวา ฮาร์ดินย้ายมาอยู่ที่ เมืองเบทส์วิลล์ รัฐ อาแคนซัส ที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่จนปี 1942 ปีที่เขาได้รับทุนเข้าศึกษาที่เมืองเมมฟิส รัฐ เทนเนสซี และถึงแม้ว่าเขาจะเรียนรู้เรื่องดนตรีด้วยหูของเขาเอง ที่นั่น ฮาร์ดินได้เรียน ทฤษฐีดนตรีจากหนังสืออักษรเบรล ฮาร์ดินย้ายมานิวยอร์กในปี 1943 ที่ที่เขาได้พบกับ วาทยากรที่ย่งใหญ่ อย่างเช่น เลโอนาร์ด แบร์นสไตน์ และ อาร์ทูโร ทอสคาร์นีนี และเช่นเดียวกัน กับนักดนตรี นักแต่งเพลงแจ๊สในตำนาน อย่างเช่น ชาร์ลี ปาร์เกอร์ และเบนนี กู๊ดแมน ผู้ซ่งมีอารมณ์ขันในการแต่งเพลงและมีบทเพลงที่มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง ซึ่งเขาเหล่านั้นจะเป็น ผู้มีอิทธิพลในงานยุคหลังๆของ ฮาร์ดิน
นิวยอร์ก
[แก้]จากช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 ถึงปี 1974 มูนด๊อกได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างนักดนตรีข้างถนนและกวีในเมืองนิวยอร์ก ส่วนใหญ่จะแสดงอยู่ที่มุมถนนหมายเลขห้าสิบสามกับอะเวนิวที่หกในแมนฮัตตัน ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาก็ไม่ใช่คนไร้บ้าน เกือบตลอดชีวิตของเขา ฮาร์ดินยังคงมีอพาร์ตเมนต์ในอัพเพอร์แมนแฮตตั้น นอกเหนือจากส่วนของงานดนตรีและบทกวี ฮาร์ดินเป็นที่รู้จักจากการที่เขาสวมหมวกไวกิ้งที่แปลกประหลาด ที่มีเขาสัตว์ติดอยู่ ฮาร์ดินใช้ชีวิตอยู่จากการขายสำเนาบทกวีและปรัชญาดนตรีของเขา ด้วยความที่ถนนที่ฮาร์ดินทำงานอยู่ อยู่ไกล้กับถนนหมายเลข52ที่โด่งดัง ซึ่งเป็นที่ที่มีไนท์คลับอยู่เรียงราย ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของนักดนตรีแจ๊สและแฟนเพลง ในปีค.ศ.1947 ฮาร์ดินเริ่มใช้นามปากกา " มูนด๊อก"(Moondog) เพื่อเป็นเกียรติกับสุนัขตัวหนึ่ง "ตัวที่ชอบเห่าหอนใส่ดวงจันทร์มากกว่าสุนัขตัวไหนที่ผมรู้จักมา" ในปีค.ศ.1949 เขาเดินทางไปร่วมพิธีซันแดนซ์ ของเผ่าแบล็คฟุต ที่รัฐไอดาโฮ เขาได้แสดงเครื่องดนตรีประเภทเคาะ(Percussion)และขลุ่ย ช่วงเวลานั้นทำให้ฮาร์ดินได้ย้อนความทรงจำทางดนตรีของเค้าไปสู่วัยเด็ก เพลงพื้นเมือง,ดนตรีแจ๊สร่วมสมัยและเพลงคลาสสิคผสมผสานกับเสียงบรรยากาศจากสถานที่ที่เขาอยู่ (เสียงการจราจร,เสียงคลื่น,เสียงเด็กร้องไห้ ฯลฯ) ส่งเหล่านี้ได้สร้างพื้นฐานให้กับบทเพลงของมูนด๊อก ปีค.ศ.1954 ฮาร์ดินชนะคดีในศาลสูงของนิวยอร์กที่มีคู่กรณีเป็นดีเจชื่อ อาลัน ฟรีด ผู้ซึ่งก่อตั้งรายการวิทยุของเขาในนาม "The Moondog Rock and Roll Matinee" มูนด๊อกคิดว่าเขาจะไม่ชนะคดีนี้เลย ถ้าปราศจากความช่วยเหลือของนักดนตรีเช่น เบนนี กู้ดแมน และอาเธอโร ทอสคานีนี ผู้ซึ่งยืนยันกับศาลว่าฮาร์ดินเป็นนักแต่งเพลงมืออาชีพ ฟรีตต้องขอโทษฮาร์ดินและหยุดใช้ชื่อมูนด๊อกในการออกอากาศ ด้วยเหตุผลที่ว่าฮาร์ดินนั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ "มูนด๊อก"มาก่อนที่ฟรีดจะเริ่มใช้มัน
เยอรมนี
[แก้]เยอรมนีเป็นสถานที่ในอุดมคติของมูนด๊อก ("ประเทศที่ศักดิ์สิทธิ์ กับแม่น้ำศักดิสิทธิ์-แม่น้ำไรน์") ที่ที่เขาพำนักในปี 1974 นักศึกษาชาวเยอรมันนาม อิโลน่า ซอมเมอร์ ได้ช่วยมูนด๊อกก่อตั้งบริษัทที่จะช่วยสนับสนุนงานเพลงของเขาและให้ที่พักกับพิงกับเขา ในช่วงแรก ณ เมือง เออ-แอร์เคนสวิค และต่อมา ที่เมือง มึนเสตอร์ ในเขตเวสฟาเลีย ประเทศเยอรมนี มูนด๊อกได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของ อิโลน่า ณ เมืองมึนเสตอร์ ในช่วงนั้นเขาได้แต่งเพลงนับร้อยๆเพลงซึ่งในขั้นแรกเพลงทั้งหมดถูกบันทึกโดยอักษรเบรลและถูกแปลงเป็นตัวโน้ตโดยอิโลน่า มูนด๊อกได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมนีจนเสียชีวิตในปี ค.ศ.1999 ในปี ค.ศ. 1989 จากคำเชิญของ ฟิลิปพ์ กลาส มูนด๊อกได้กลับไปควบคุมวงบรูคลิน ฟิลฮาโมนิคแชมเบอร์ออเครสตาร์ แสดงดนตรีของเขา ณ เทศการ the New Music America ในบรูคลิน การแสดงในครั้งนี้ทำให้คนสนใจงานเพลงของเขามากขึ้น มูนด๊อกผลิตอัลบั้มของเขาและออกทัวร์ ในทั้ง สหรัฐอเมริกา และยุโรป (ฝรั่งเศส,เยอรมนีและสวีเดน)
งานประพันธ์
[แก้]ซิงเกิล
[แก้]- "Snaketimes Rhythm" (1949–1950), SMC
- "Moondog's Symphony" (1949–1950), SMC
- "Organ Rounds" (1949–1950), SMC
- "Oboe Rounds" (1949–1950), SMC
- "Surf Session" (c. 1953), SMC
- "Caribea Sextet"/"Oo Debut" (1956), Moondog Records
- "Stamping Ground Theme" (from the Holland Pop Festival) (1970), CBS.
EPs
[แก้]- 1953 Improvisations at a Jazz Concert, Brunswick
- 1953 Moondog on the Streets of New York, Decca/Mars
- 1953 Pastoral Suite / Surf Session, SMC
- 1955 Moondog & His Honking Geese Playing Moondog's Music, Moondog Records
อัลบั้ม
[แก้]ในชื่อ Moondog
[แก้]- 1953 Moondog and His Friends, Epic
- 1956 Moondog, Prestige
- 1956 More Moondog, Prestige
- 1957 The Story of Moondog, Prestige
- 1969 Moondog (not the same as the 1956 LP), Columbia
- 1971 Moondog 2, Columbia
- 1977 Moondog in Europe, Kopf
- 1978 H'art Songs, Kopf
- 1978 Moondog: Instrumental Music by Louis Hardin, Musical Heritage Society
- 1979 A New Sound of an Old Instrument, Kopf
- 1981 Facets, Managarm
- 1986 Bracelli, Kakaphone
- 1992 Elpmas, Kopf
- 1994 Sax Pax for a Sax with the London Saxophonic, Kopf/Atlantic
- 1995 Big Band, Trimba
- 1996 To a Grain of Rice, Paradise
- 2005 Bracelli und Moondog, Laska Records
กับ Julie Andrews และ Martyn Green
[แก้]- 1957 Songs of Sense and Nonsense - Tell it Again, Angel/Capitol
Compilations
[แก้]- 1991 More Moondog/The Story of Moondog, Original Jazz Classics
- 2001 Moondog/Moondog 2, Beat Goes On
- 2005 The German Years 1977–1999, ROOF Music
- 2005 Un hommage à Moondog tribute album, trAce label
- 2005 The Viking Of 6th Avenue (disc inside biographical book), Honest Jons (ISBN 0-976082-284)
- 2006 Rare Material, ROOF Music
Various artist compilations
[แก้]- 1954 New York 19 (recorded and edited by Tony Schwartz), Folkways
- 1954 Music in the Streets (recorded and edited by Tony Schwartz), Folkways
- 1958 Rosey 4 Blocks (arrangement by Andy Forsythe, Rosey
- 1970 Fill Your Head With Rock, CBS
- 1998 The Big Lebowski motion picture soundtrack, Mercury
- 1998 Fsuk vol. 3: The Future Sound of the United Kingdom, Fsuk
- 2000 Miniatures 2, Cherry Red
- 2006 DJ Kicks:Henrik Schwarz, K7 Records
- 2006 The Trip: Curated By Jarvis Cocker and Steve Mackey, Disc 1 Track 19: "Pastoral"
- 2008 Pineapple Express Motion Picture Sound Track, Track 9 "Birds Lament," Moondog & The London Saxophonic.
Performed by other musicians
[แก้]- 1957 Moondog and Suncat Suite by British jazz musician Kenny Graham features one side of interpretations of the work of Moondog
- 1967 "All Is Loneliness" by Big Brother and the Holding Company, featuring Janis Joplin, on their self-titled first album
- 1968 "Moon Dog" by Pentangle on Sweet Child
- 1968 "Spear for Moondog (parts 1 and 2)" by jazz organist Jimmy McGriff on Electric Funk
- 1970 "Be a Hobo" by The Insect Trust on Hoboken Saturday Night
- 1978 Canons on the Keys by Paul Jordan, unreleased
- 1985 "Theme and Variations" performed by John Fahey on the album Rain Forests, Oceans and Other Themes[11]
- 1990 Lovechild Plays Moondog, EP, Forced Exposure
- 1990 "Moondog" by Prefab Sprout on Jordan: The Comeback
- 1993 "All is Loneliness" by Motorpsycho on Demon Box
- 1995 Alphorn of Plenty by Hans Kennel, Hat Art
- 1997 "Synchrony Nr. 2" by Kronos Quartet
- 1998 Trees Against the Sky compilation album, SHI-RA-Nui 360°
- 1999 "Get a Move On" (remix of "Bird's Lament (In Memory of Charlie Parker)") by Mr. Scruff on Keep It Unreal
- 2005 "All Is Loneliness" by Antony and the Johnsons, live
- 2005 "Sidewalk Dances" by Joanna MacGregor & Britten Sinfonia, Sound Circus SC010
- 2006 "Moondog Sharp Harp" by Xenia Narati, Ars Musici
- 2007 "Paris" by Jens Lekman, live
- 2009 "New Amsterdam" by Pink Martini on Splendor in the Grass
- 2010 "The Orastorios - Moondog rounds" by Stefan Lakatos/Andreas Heuser, Makro
- 2011 "Making Moonshine - Moondog Songs by Moondog Fans" by Various Artists, SL Records
อ้างอิง
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Moondog - official website
- Moondog discography at Discogs
- Bach Meets Moondog เก็บถาวร 2007-11-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน with Joanna MacGregor, at the 2006 London Jazz Festival
- 2003 Britten Sinfonia Moondog tour[ลิงก์เสีย] with Joanna MacGregor, article in The Independent
- 2-hour radio show featuring Moondog's biographer, and many of the composer's recordings[ลิงก์เสีย] (Starts at 00:07:00 into recording)
- Stefan Lakatos เก็บถาวร 2022-03-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - Moondog Trimbapercussion
- Moondog's Corner The original Fan Website
- Le Viking de la 6ème Avenue เก็บถาวร 2013-04-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The French Fan Website
- Xenia Narati[ลิงก์เสีย] Moondog Interpreter (Concert Harp)