ข้ามไปเนื้อหา

ผู้ใช้:Phattharaphong

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วัดเสมาเมือง

พบหลักศิลาจารึกหลักที่23 สลักบนหินทรายเป็นรูปใบเสมา เป็นจารึกที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี เนื่องจากข้อความในจารึกระบุศักราชที่บ่งบอกว่าจารึกมีอายุเก่าลงไปถึงช่วงอาณาจักรศรีวิชัยราวพุทธศตวรรษที่ 13-16

ประวัติความเป็นมา

 มีหลักฐานกล่าวถึงประวัติการสร้างวัดเสมาเมืองไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโสกราช เป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๓๑๘ ภายหลังที่ได้สร้างพระบรมธาตุแล้ว ๑๘ ปี สถานที่สร้างวัดนี้เป็นทำเลใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น มีพระประสงค์ที่จะให้ภิกษุ ฝ่ายมหายานจำพรรษาเป็นแห่งแรก วัดนี้เป็นต้นกำเนิดของวัดทั้งหลายในเมืองนคร

นการสร้างวัด ได้มีการสร้างศาสนสถานด้วยอิฐรวมสามหลัง สร้างและอุทิศถวายแด่พระพุทธองค์ผู้ทรงชนะมาร พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี และวัชรปาณี นอกจากนี้ก็มีสถูป ๓ องค์ซึ่งพระราชทานนามว่า ชยันตะ สร้างขึ้นตามพระราชโองการของพระราชาและเจดีย์อีก ๒ องค์ ความสำคัญต่อชุมชน เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ลักษณะทางสถาปัตยกรรม วัดเสมาเมืองเป็นวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองนครศรีวิชีย จารึกจากวัดเสมาเมืองซึ่งสลักบนหินทราย เป็นรูปใบเสมา สูง ๑.๐๕ เมตร ฐานกว้าง ๔๐ เซนติเมตร และส่วนยอดกว้าง ๕๐ เซนติเมตร ได้กลายเป็นหลักฐานที่ช่วยคลี่คลายปัญหาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีลงได้อย่างมาก ลักษณะทางสถาปัตยกรรม วัดเสมาเมืองเป็นวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองนครศรีวิชีย จารึกจากวัดเสมาเมืองซึ่งสลักบนหินทราย เป็นรูปใบเสมา สูง 1.05 เมตร ฐานกว้าง 40 เซนติเมตร และส่วนยอดกว้าง 50 เซนติเมตร ได้กลายเป็นหลักฐานที่ช่วยคลี่คลายปัญหาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีลงได้อย่างมาก

 มีหลักฐานกล่าวถึงประวัติการสร้างวัดเสมาเมืองไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโสกราช เป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1318 ภายหลังที่ได้สร้างพระบรมธาตุแล้ว 18 ปี สถานที่สร้างวัดนี้เป็นทำเลใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น มีพระประสงค์ที่จะให้ภิกษุ ฝ่ายมหายานจำพรรษาเป็นแห่งแรก วัดนี้นั้นเป็นต้นกำเนิดของวัดทั้งหลายในเมืองนคร ในการสร้างวัด ได้มีการสร้างศาสนสถานด้วยอิฐรวมสามหลัง สร้างและอุทิศถวายแด่พระพุทธองค์ผู้ทรงชำนะมาร พระโพธิสัตว์ ปัทมปาณี และวัชรปาณี นอกจากนี้ก็มีสถูป 3 องค์ซึ่งพระราชทานนามว่า ชยันตะ สร้างขึ้นตามพระราชโองการของพระราชาและเจดีย์อีก 2 องค์

ความสำคัญต่อชุมชนเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ

 ชื่อจารึก	จารึกวัดเสมาเมือง  (English Version)

ชื่อจารึกแบบอื่นๆ - อักษรที่มีในจารึก หลังปัลลวะ ศักราช พุทธศักราช ๑๓๑๘ ภาษา สันสกฤต ด้าน/บรรทัด จำนวนด้าน ๒ ด้าน มี ๓๓ บรรทัด ด้านที่ ๑ มี ๒๙ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๔ บรรทัด วัตถุจารึก ศิลา ลักษณะวัตถุ แผ่นรูปใบเสมา ขนาดวัตถุ กว้าง ๕๐ ซม. สูง ๑๐๔ ซม. หนา ๙ ซม. บัญชี/ทะเบียนวัตถุ ๑) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น “นศ. ๙” ๒) ในหนังสือ ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ กำหนดเป็น “หลักที่ ๒๓ ศิลาจารึกวัดเสมาเมือง” ๓) ในหนังสือ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ กำหนดเป็น “จารึกที่ ๒๓ ศิลาจารึกที่วัดเสมาเมือง” ๔) ในหนังสือ จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ กำหนดเป็น “จารึกวัดเสมาเมือง” ปีที่พบจารึก ๒๔๕๐

 สถานที่พบ	วัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ผู้พบ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปัจจุบันอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร พิมพ์เผยแพร่ ๑) ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๒), ๓๗-๔๐. ๒) ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๐๔), ๒๑-๒๖. ๓) จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๙), ๑๘๗-๒๒๒. ประวัติ ประวัติเรื่องตำแหน่งเดิมของจารึกหลักนี้ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจาก มีข้อมูลกล่าวถึงหลายกระแส แต่อย่างไรก็ตาม หอสมุดแห่งชาติได้สรุปข้อมูลเป็นเบื้องต้นไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งยังเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จตรวจราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ได้มีรับสั่งให้นำจารึกซึ่งพบในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชนั้น เข้ามาเก็บรักษาไว้หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติได้สรุปข้อมูลที่กล่าวถึงที่มาของจารึกหลักนี้ไว้เป็นข้อๆ ดังนี้คือ ๑. วัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช : หลักฐานเก่ามีหมายเหตุไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงนำจารึกหลักนี้มาแต่ตำบลเวียงศักดิ์ แขวงเมืองนครศรีธรรมราช คราวเสด็จตรวจราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ได้โปรดเกล้าประทานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และได้นำมาตรวจอ่าน เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๐ และข้อมูลนี้ก็มีกล่าวถึงอีกในหนังสือ “ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ ฉบับภาษาไทย (พ.ศ. ๒๔๗๒)” ความว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจากวัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วได้รับสั่งให้ย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ และยังมีข้อมูลจากบันทึกของนายประสาร บุญประคอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่กล่าวว่า ศิลาจารึกนี้ในขั้นแรกคิดกันว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจากตำบลเวียงสระ ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อมาพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งเป็นชาวนครศรีธรรมราชมาเห็นเข้า จำได้ว่าศิลาจารึกหลักนี้เคยอยู่ในวัดเสมาเมืองที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ๒. ตำบลเวียงสระ อำเภอบ้านนา จังหวัดสุราษฏร์ธานี : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจาก ตำบลเวียงสระ แล้วได้รับสั่งให้ย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ ข้อมูลนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสือ “ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ ฉบับภาษาฝรั่งเศส (พ.ศ. ๑๔๗๒)” ๓. วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี : ในสำเนาหนังสือของพระยาคงคาวราธิบดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์ ฉบับลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ว่าได้ส่งศิลาจารึกจำนวน ๒ หลักมายังพระนคร แต่เมื่อหอสมุดแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าจารึกทั้ง ๒ หลักดังกล่าวตรงกับจารึกวัดหัวเวียงเมืองไชยา ๑ (หลักที่ ๒๔ หรือ สฏ. ๓) และ จารึกวัดหัวเวียงเมืองไชยา ๒ (หลักที่ ๒๔ ก. หรือ สฏ. ๔) แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเนื้อหาที่ปรากฏในจารึกที่กล่าวถึงปราสาทอิฐ ๓ หลัง กับหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเวียงแล้ว ก็น่าสนใจว่ามีเนื้อหาที่สอดคล้องกันยิ่ง กล่าวคือ ใน อำเภอไชยานั้น นอกจากจะมีโบราณสถานสำคัญเนื่องในพระพุทธมหายานคือพระบรมธาตุไชยาแล้ว ยังมีโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐอีก ๓ หลังคือ วัดเวียง วัดหลง และ วัดแก้ว ซึ่งเป็นแนวเรียงกัน ดังนั้น ประเด็นที่ว่าจารึกวัดเสมาเมืองนี้ มาจากที่ไหน ถ้าพิจารณาตามหลักฐานทางโบราณคดีแล้ว ก็มีความเป็นได้สูงว่าน่าจะมาจากอำเภอไชยาได้เช่นกัน ซึ่งตัวจารึกเองอาจถูกเคลื่อนย้ายจากไชยาไปยังเก็บรักษาไว้ที่วัดเสมาเมืองมานานแล้วก็เป็นได้ ในเมื่อขณะนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ฐานข้อมูลชุดนี้จึงขอนำเสนอข้อมูลตามที่หอสมุดแห่งชาติได้พิมพ์เผยแพร่ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ ที่ระบุไว้เป็นเบื้องต้นว่า พบที่วัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อหาโดยสังเขป ด้านที่ ๑ เนื้อความตอนต้นเป็นการสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ช่วงต่อมากล่าวถึงพระบรมราชโองการให้พระเถระนามว่าชยันตะ สร้างปราสาทอิฐ ๓ หลัง เพื่อถวายให้เป็นที่ประทับแด่พระมนุษยพุทธ พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี และ พระโพธิสัตว์วัชรปาณี ต่อมาเมื่อชยันตเถระมรณภาพ ลูกศิษย์ของท่านคืออธิมุกติเถระ ได้สร้างปราสาทอิฐขึ้นอีก ๒ หลัง ใกล้ๆ กัน ส่วนด้านที่ ๒ นั้น กล่าวว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัยพระองค์นี้ พระนามว่า “ศรีมหาราชา” เป็นมหากษัตริย์ในไศเลนทรวงศ์ ยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งปวง เปรียบได้ดั่งพระวิษณุองค์ที่ ๒

เจ้าอาสรูปปัจจุบัน

พระคูรวัตตปราโมทย์