ปลาตกเบ็ด
ปลาตกเบ็ด ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: 130–0Ma ตั้งแต่ ครีเทเชียส – ปัจจุบัน | |
---|---|
ปลาตกเบ็ดหลังค่อม, Melanocetus johnsonii | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Actinopterygii |
ชั้นย่อย: | Neopterygii |
ชั้นฐาน: | Teleostei |
อันดับใหญ่: | Acanthopterygii |
อันดับ: | Lophiiformes Garman, 1899 |
ชื่อพ้อง | |
Pediculati |
ปลาตกเบ็ด หรือ ปลาแองเกลอร์ (อังกฤษ: anglerfish) คือปลาทะเลลึกอยู่ในชั้นปลากระดูกแข็ง คำว่า แองเกลอร์ (Angler) นั้นมีความหมายว่า ผู้ตกปลา [1] อันเป็นรูปแบบการล่าเหยื่อของมัน พวกมันมีสายพันธุ์มากกว่า 200 ชนิด สามารถพบได้ทั่วโลกบริเวณน้ำเขตร้อนตื้น ๆ บริเวณไหล่ทวีปจนถึงทะเลลึก[2]
นอกจากจะมีติ่งเนื้อเรืองแสงที่คล้ายเบ็ดตกปลาไว้ใช้ในการล่อเหยื่อแล้วมันยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือกรณีเพศสัณฐานของปรสิตเพศชายที่จะรวมตัวกันกับตัวเมีย[3]
วิวัฒนาการ
[แก้]จากการศึกษาเกี่ยวกับยีนของปลาตกเบ็ดชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายในระยะเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่ต้นกำเนิดในยุดครีเทเชียสระหว่าง 130-100 ล้านปีก่อน[4]
พวกมันมีการวิวัฒนาการให้มีรูปร่างแตกต่างจากปลาชนิดอื่นคือการเปลี่ยนแปลงครีบหน้าของมันให้มีลักษณะคล้ายเบ็ดตกปลาที่มีติ่งเนื้อไว้ใช้ในการล่อเหยือซึ่งการวิวัฒนาการมีมาตั้งแต่ยุคครีเทเชียสและยังคงรูปร่างเดิมแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน[5]
พวกมันมีสีแตกต่างกันจากสีเทาเข้มถึงน้ำตาลเข้มปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารเหล่านี้มีหัวขนาดมหึมาที่มีรูปร่างขนาดใหญ่มีปากเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวยาวเต็มไปด้วยฟันเขี้ยวด้านในเพื่อใช้ในการงับเหยือและมีติ่งเนื่อเรืองแสงที่คล้ายเบ็ดตกปลาซึ่งเอาไว้ใช่ในการล่อเหยือ ความยาวของพวกมันมีความยาวประมาณ 20 ซม. (8.0 นิ้ว) ถึง 1 เมตร (3 ฟุต) น้ำหนัก 45 กิโลกรัม (100 ปอนด์)[6]
การจัดหมวดหมู่
[แก้]มีหน่วยย่อยดังต่อไปนี้[7][8][3]
- มีหน่วยย่อย Lophoiodei
- ปลามังค์ (goosefishes or monkfishes)
- มีหน่วยย่อย Antennarioidei
- ปลากบ (frogfishes)
- ปลากบสี่มือ (four-armed frogfishes)[9]
- ปลาตีนลายจุด (handfishes)
- Lophichthyidae (Boschma's frogfish)[9]
- มีหน่วยย่อย Chaunacoidei
- Chaunacidae (sea toads)
- มีหน่วยย่อย Ogcocephaloidei
- Ogcocephalidae (batfishes)
- มีหน่วยย่อย Ceratioidei
- Centrophrynidae (prickly seadevils)
- Ceratiidae (warty seadevils)
- ปลาลูกฟุตบอล (footballfishes)
- Diceratiidae (doublespine seadevils)
- ปลาปีศาจดำ (black seadevils)
- Thaumatichthyidae (wolf-trap seadevils)
- Oneirodidae (dreamers)
- ปลาปีศาจครีบพัด (fanfin seadevils)
- Neoceratiidae (needlebeard seadevil)
- Gigantactinidae (whipnose seadevils)
- Linophrynidae (leftvent seadevils)
ลักษณะ
[แก้]ตัวเมีย
[แก้]ปลาตกเบ็ดนั้นมีขนาดตัวที่ไม่ใหญ่มากมีรูปร่างที่ค่อนข้างกลมมันมีหัวขนาดใหญ่และปากกว้างมีลักษณะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันคมหลายซี่เรียงรายออกมานอกปากทำให้มันปิดปากได้ไม่สนิท แต่บางชนิดก็สามารถปิดปากได้สนิด ส่วนใหญ่มีครีบที่เล็กและสั้นแต่ก็บางชนิดเช่นปลาปีศาจครีบพัดที่มีครีบที่ค่อนข้างใหญ่และยาว
พวกมันยังมีการวิวัฒนาการให้มีครีบหน้าที่สามารถทำหน้าที่ในการล่อเหยื่อได้ สายพันธุ์ปลาตกเบ็ดส่วนใหญ่จะมีคันเบ็ดตกปลาที่ด้านบนหัวหรือเรียกอีกอย่างว่า (illicium ที่แปลว่า "คันเบ็ด") และจะมีอวัยวะที่เรืองแสงที่เรียกว่าติ่งเนื้อเรืองแสงหรือ (esca) บนยอดของคันเบ็ด ซึ่งเป็นอวัยวะที่ได้รับการตั้งสมุมติฐานว่าเอาไวใช่ในการล่อเหยื่อหรือดึงดูดเหยือของพวกมันให้เข้ามาใกล้พอเพื่อที่พวกมันจะสามารถหุบเหยือได้และในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดของทะเลลึก มันก็ยังทำหน้าที่ในการเรียกความสนใจจากเพศผู้ต่อเพศเมียเพื่ออำนวยความสะดวกในการผสมพันธุ์อีกด้วย[10]
แหล่งกำเนิดแสงของติ่งเนื้อเรืองแสง(esca)นั้นคือแบคทีเรียวิบริโอ ฟิสเชอรีหรือแบคทีเรียอื่นๆที่อาศัยอยู่รอบๆติ่งเนื้อเรืองแสง(esca)โดยอาจจะมีการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนนั้นเอง[11]
โดยทั่วไปปลาตกเบ็ดมักจะมี สีเทาเข้ม ถึง สีน้ำตาลเข้ม พวกปลาตกเบ็ดบางตัวนั้นอาจจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ซึ่งอาจยาวได้ถึงถึง1เมตร (3.3 ฟุต)[12]ฟันทีแหลมคมของมันเอียงโน้มเข้าไปข้างในปากเพื่อไม่ให้เหยือสามารถหลบหนีได้อีกทั้งมันยังสามารถกินเหยื่อขนาดใหญ่ได้มากกว่าตัวเองถึง2เท่าเนื่องจากขากรรไกรและกระเพาะอาหารของมันนั้นมีกระดูกขนาดบางและสามารถยืดหยุนได้ดี[13]
ตัวผู้
[แก้]พวกมันมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเกือบ 40 เท่าไม่มีคันเบ็ดไวใช้ในการล่อเหยื่อ สิ่งที่พวกมันสนใจมีเพียงแค่การหาคู่ ไม่ใช่การล่าเหยื่อ พวกมันจะใช้ตาของพวกมันที่มีขนาดใหญ่มองหาที่เหมาะสมและอาจจะพบตัวเมียและใช้รูจมูกขนาดใหญ่ตามกลิ่นฟีโรโมนของตัวเมีย[14][15]
พฤติกรรม
[แก้]การว่ายน้ำและการรักษาพลังงาน
[แก้]ในปีพ. ศ. 2548 ใกล้มอนเทอร์เรย์แคลิฟอร์เนียที่ระดับความลึก 1,474 เมตรROV ได้ถ่ายวิดีโอปลาตกเบ็ดเป็นเวลา24นาทีจากการสังเกตพบว่าพวกมันจะลอยไปเรื่อยๆตามกระแสน้ำซึ่งคิดเป็น74%ของวิดีโอทั้งหมดซึ่งการที่มันลอยเคว้งไปตามกระแสน้ำนี่เชื่อว่าเป็นการประหยัดพลังงานอย่างหนึ่งเนื่องจากทะเลลึกเหยื่อนั้นเป็นสิ่งที่หายากจึงใช้พลังงานอย่าจำกัด และเมื่อเข้าไปใกล้มันๆจะว่ายน้ำถอยออกไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อถ่ายต่อจะพบว่ามันว่ายน้ำด้วยความเร็ว0.24เมตรต่อวินาที[16] [17]
การล่า
[แก้]ชื่อ "ปลาตกเบ็ด" มาจากลักษณะของวิธีการกินสัตว์ ปลาตกเบ็ดโดยทั่วไปจะมีเส้นใยยาวอย่างน้อยหนึ่งเส้นงอกขึ้นมาจากกลางศีรษะเรียกว่าคันเบ็ด(illicium) ซึ่งมันคือส่วนของกระดูกสันหลังและด้านบนของคันเบ็ด(illicium) นี่จะมีติ่งเนื่อเรืองแสง(esca)อยู่บนยอดและเมือหยุดการเจริญเติบโตติ่งเนื่อเรืองแสง(esca)ที่ผิดปกตินั้นจะสามารถเคลื่อนที่ได้ทุกทิศทาง ปลาตกเบ็ดสามารถกระดิกติ่งเนื่อเรืองแสง(esca) เพื่อให้มันคล้ายกับเหยื่อ
ปลาทะเลลึกนั้นจะปล่อยแสงจาก esca ของพวกมันเพื่อดึงดูดเหยื่อการเรืองแสงนี้เป็นผลมาจาก symbiosis กับแบคทีเรีย กลไกที่ใช้ในการควบคุมของพวกมันนั้นยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่นักวิจัยคาดการณ์ว่าแบคทีเรียจะเข้าสู่ esca ผ่านรูขุมขนขนาดเล็กจากน้ำทะเล เมื่ออยู่ภายในพวกมันคูณจนเกิดความหนาแน่นของพวกมันจนเพียงพอที่จะก่อให้เกิดการเรืองแสงที่สว่างสดใส[18]
จากการศึกษาตรวจสอบกระเพาะอาหารของปลาตกเบ็ดนั้นจะเป็นปลาที่กินเหยือบริเวณหน้าดินคือ กุ้งและปลา teleost เหยื่อที่พบบ่อยที่สุดคือกุ้ง pandalid จากการตรวจสอบพบว่า 52% กระเพาะของปลาพวกนี้จะไม่มีเหยือจึงคาดว่าพวกมันเป็นพวกผู้บริโภคพลังงานต่ำ[19]
การสืบพันธุ์
[แก้]ในทะเลลึกนั้นการพบเจอคู่นั้นเป็นเรื่องที่ยากและปลาตกเบ็ดนั้นก็ประสบปัญหานี่ด้วยเช่นกัน จากการสุ่มจับปลาตกเบ็ดมานั้นทั้งหมดเป็นเพศหญิงซึ่งมีหลายตัวที่มีติ่งเนื้อข้างตัวซึ่งมันคือปรสิตซึ่งเกิดจากการที่เพศผู้รวมกันเป็นหนึ่งกับเพศเมียจึงพบว่าพวกมันระบบการผสมพันธุ์ที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งของปลาตกเบ็ด[3]
การสืบพันธุ์แบบปรสิต
[แก้]จากการศึกษาพบว่าเมื่อเพศผู้เจริญเติบโตขึ้นมามันจะไม่เคยมีพัฒนาการอย่างครบถ้วนเหมือนเพศเมียดังนั้นพวกมันจึงไม่เคยโตเต็มวัยเมื่อแรกเกิดเพศชายมีการพัฒนาอวัยวะรับกลิ่นมาเป็นอย่างดีเพื่อตรวจจับกลิ่นในน้ำ เพศผู้บางชนิดยังพัฒนาสายตาเป็นอย่างดีและมีความเชี่ยวชาญสูงเพื่อช่วยในการระบุคู่ครองในสภาพแวดล้อมที่มืดมิด เพศผู้ตัวนั้นมีชีวิตอยู่แต่เพียงเพื่อการค้นหาและผสมพันธุ์กับตัวเมีย[3]
มันมีขนาดเล็กกว่าปลาตัวเมียและอาจมีปัญหาในการหาอาหารในทะเลลึก นอกจากนี้การเจริญเติบโตของช่องทางเดินอาหารของเพศผู้จะกลายเป็นแคระแกรนและป้องกันไม่ให้อาหารเข้า มันมีปากที่ไม่เหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการจับเหยื่อ คุณสมบัติทั้งหลายเหล่านี้หมายความว่าเพศผู้จะต้องหาปลาตัวเล็กๆกินเพื่อที่มันจะได้ไม่อดตาย อวัยวะในการรับกลิ่นเป็นอวัยวะที่สำคัญช่วยให้เพศผู้ตรวจพบฟีโรโมนที่บอกถึงความใกล้เคียงของปลาเพศเมียอย่างไรก็ตามเพศผู้บางตัวอาจมีตาที่ไม่เหมาะสำหรับการระบุตัวเมียและมีจมูกมีด้อยกว่าทำให้พวกมันไม่สามารถหาเพศหญิงได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกลิ่น[20]
เมื่อตัวผู้พบตัวเมียมันจะกัดผิวของตัวเมียและปล่อยเอนไซม์ที่ย่อยสลายผิวปากและร่างของตัวเองเพื่อหลอมรวมเข้ากับตัวเมียที่ระดับเส้นเลือด ตัวผู้จะพึ่งพาตัวเมียเพื่อความอยู่รอดโดยรับสารอาหารผ่านทางระบบไหลเวียนโลหิตที่ใช้ร่วมกันและจะให้ตัวอสุจิกับตัวเมียในทางกลับกัน หลังจากการหลอมรวมกันตัวผู้จะเพิ่มปริมาณและกลายเป็นญาติที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับตัวเมียที่มีชีวิตอิสระ ตัวผู้จะอาศัยอยู่และยังคงดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ตัวเมียมีชีวิตอยู่และสามารถมีส่วนร่วมในหลายเรื่องนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าเมื่อเพศหญิงมีเพศสัมพันธ์มันพร้อมที่จะวางไข่ของเธอมีลูกทันที เพศชายตัวสามารถอยู่รวมในเพศหญิงตัวเดี่ยวได้ถึงแปดตัวและตัวผู้ในบางสายพันธุ์อาจจะมีได้แค่เพศผู้ตัว1ต่อตัวเมียตัว1[3]
การสืบพันธุ์แบบปกติ
[แก้]การที่มีเพศผู้เป็นปรสิตไม่ได้เป็นวิธีเดียวในการสืบพันธุ์ของปลาตกเบ็ดในความเป็นจริงหลายสปีชีส์เช่น ปลากบ, Himantolophidae, Diceratiidae และ Gigantactinidae[21] ซึงเพศเมียในบางส่วนของสายพันธุ์เหล่านี้มีรังไข่ขนาดใหญ่ที่พัฒนาแล้วและตัวเมียที่โตเต็มวัยจะมีอัณฑะขนาดใหญ่อนู่ซึ่งนักวิจัยแนะนำว่าตัวตนทางเพศเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในระหว่างสิ่งที่แนบมาทางเพศชั่วคราวซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหลอมเหลวของเนื้อเยื่อ เพศผู้ในสายพันธุ์เหล่านี้มีฟันแคบที่มีประสิทธิภาพในการล่าสัตว์สูงกว่าสายพันธุ์ที่เป็นปรสิต[21]
คำอธิบายสำหรับการวิวัฒนาการของปรสิตทางเพศอีกอย่างคือความหนาแน่นค่อนข้างต่ำของเพศหญิงในสภาพแวดล้อมใต้ทะเลลึกโอกาสน้อยมากสำหรับคู่เลือกระหว่างปลาตกเบ็ด ตัวเมียยังคงมีขนาดใหญ่เพื่อรองรับความอุดมสมบูรณ์เนื่องจากมีรังไข่และไข่ที่ใหญ่ เพศชายคาดว่าจะลดลงเพื่อลดต้นทุนการเผาผลาญพลังงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยแต่จะพัฒนาความสามารถในการหาเพศเมีย ถ้าเพศผู้สามารถหาเพศเมียได้นั้นมีแนวโน้มที่จะปรับปรุงสมรรถภาพในการผสมพันธุ์ให้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโอกาสในการออกไข่ในอนาคตมันจะมีประโยชน์มากเนื่องจากตัวอสุจิของชายสามารถใช้ในการปฏิสนธิได้หลายครั้งในขณะที่เพศผู้ยังอยู่ด้วยกันเสมอพร้อมที่จะผสมพันธุ์ได้ทุกเมื่อ [22]
ยกตัวอย่างเช่นการวางไข่ของปลาตกเบ็ดของสกุลปลามังค์ซึ่งประกอบด้วยแผ่นบาง ๆ ของวัสดุวุ้นใส 25 เซนติเมตร และกว้างกว่า 10 เมตร (33 ฟุต) ไข่ที่อยู่ในแผ่นนี้จะอยู่ในชั้นเดียวกันแต่ละชั้นมีโพรงของตัวเอง มันจะวางไข่ตรงบริเวณที่พวกมันเลือก เพื่อให้ตัวอ่อนมีอิสระในการว่ายน้ำและมีครีบอุ้งเชิงกรานยืดออกเป็นเส้นใย แผ่นไข่ดังกล่าวนั้นหาได้ยากในหมู่ปลาทั่วไป[3]
ภัยคุกคาม
[แก้]ตระกูลปลามังค์เป็นที่สนใจทางการค้าและการประมงในทวีปยุโรป,ทวีปอเมริกาเหนือ,ทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชียตะวันออก โดยในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือหางของปลามังค์หรือเรียกอีกอย่างว่าgoosefish นั้น มีการนำมาทำอาหารกันอย่างแพร่หลายและมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับกุ้งมังกรในด้านรสชาติและเนื้อสัมผัส ส่วนในเอเชียตะวันออกนั้นปลามังค์ถูนำมาทำอาหารอย่างแพร่หลายเช่นกันโดยเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้และประเทศญี่ปุ่นตับของปลามังค์ถูกเรียกว่า ankimo ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะและมีชื่อเสียงมาก [23][24][25]
เส้นเวลา
[แก้]ปลาตกเบ็ดปรากฏในบันทึกของฟอสซิลดังนี้[26]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "ชื่อปลาตกเบ็ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-22. สืบค้นเมื่อ 2017-05-04.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ ปลาตกเบ็ด
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Pietsch, Theodore W. (25 August 2005). "Dimorphism, parasitism, and sex revisited: modes of reproduction among deep-sea ceratioid anglerfishes (Teleostei: Lophiiformes)". Ichthyological Research. 52 (3): 207–236. doi:10.1007/s10228-005-0286-2.
- ↑ Miya, M.; T. Pietsch; J. Orr; R. Arnold; T. Satoh; A. Shedlock; H. Ho; M. Shimazaki; M. Yabe (2010). "Evolutionary history of anglerfishes (Teleostei: Lophiiformes): a mitogenomic perspective". BMC Evolutionary Biology. 10: 58. doi:10.1186/1471-2148-10-58. PMC 2836326. PMID 20178642.
- ↑ Miya, M.; T. Pietsch; J. Orr; R. Arnold; T. Satoh; A. Shedlock; H. Ho; M. Shimazaki; M. Yabe (2010). "Evolutionary history of anglerfishes (Teleostei: Lophiiformes): a mitogenomic perspective". BMC Evolutionary Biology. 10: 58. doi:10.1186/1471-2148-10-58. PMC 2836326. PMID 20178642.
- ↑ "Anglerfish". deepseacreatures.org. สืบค้นเมื่อ 17 October 2012.
- ↑ Joseph S. Nelson. Fishes of the World. John Wiley & Sons. ISBN 0-471-54713-1.
- ↑ Theodore W. Pietsch (2009). Oceanic Anglerfishes: Extraordinary Diversity in the Deep Sea. University of California Press. ISBN 978-0-520-25542-5.
- ↑ 9.0 9.1 Boschma's frogfish and the four-armed frogfish are included in the Antennariidae in ITIS.
- ↑ "ปลาตกเบ็ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-22. สืบค้นเมื่อ 2017-05-04.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ O'Day, William T. (1974). Bacterial Luminescence in the Deep-Sea Anglerfish (PDF). LA: Natural History Museum of Los Angeles County.
- ↑ ขนาดปลาตกเบ็ด
- ↑ ปลาตกเบ็ด
- ↑ ตัวผู้
- ↑ http://subpayhera.blogspot.com/2013/12/blog-post.html ตัวผู้]
- ↑ Luck, Daniel Garcia; Pietsch, Theodore W. (4 June 2008). "Observations of a Deep-sea Ceratioid Anglerfish of the Genus Oneirodes (Lophiiformes: Oneirodidae)". Copeia. 2008 (2): 446–451. doi:10.1643/CE-07-075.
- ↑ Moore, Jon A. (31 December 2001). "Upside-Down Swimming Behavior in a Whipnose Anglerfish (Teleostei: Ceratioidei: Gigantactinidae)". Copeia. 4. 2002: 1144–1146. doi:10.1643/0045-8511(2002)002[1144:udsbia]2.0.co;2. JSTOR 1448539.
- ↑ Piper, Ross (2007), Extraordinary Animals: An Encyclopedia of Curious and Unusual Animals, Greenwood Press.
- ↑ Espinoza, Mario; Ingo Wehrtmann (2008). "Stomach content analyses of the threadfin anglerfish Lophiodes spilurus (Lophiiformes: Lophiidae) associated with deepwater shrimp fisheries from the central Pacific of Costa Rica". Revista de Biología Tropical. 4. 56. doi:10.15517/rbt.v56i4.5772. สืบค้นเมื่อ 4 October 2013.
- ↑ Gould, Stephen Jay (1983). Hen's Teeth and Horse's Toes. New York: W. W. Norton & Company. p. 30. ISBN 0-393-01716-8.
ceratioid males develop gigantic nostrils...relative to body size, some ceratioids have larger nasal organs than any other vertebrate
- ↑ 21.0 21.1 Pietsch, Theodore W. (8 March 1972). "A Review of the Monotypic Deep-Sea Anglerfish Family Centrophrynidae: Taxonomy, Distribution and Osteology". Copeia. 1972 (1): 17–47. doi:10.2307/1442779. JSTOR 1442779.
- ↑ Miya, Masaki; Pietsch, Theodore W; Orr, James W; Arnold, Rachel J; Satoh, Takashi P; Shedlock, Andrew M; Ho, Hsuan-Ching; Shimazaki, Mitsuomi; Yabe, Mamoru; Nishida, Mutsumi (1 January 2010). "Evolutionary history of anglerfishes (Teleostei: Lophiiformes): a mitogenomic perspective". BMC Evolutionary Biology. 10 (1): 58. doi:10.1186/1471-2148-10-58. PMC 2836326. PMID 20178642.
- ↑ "Goosefish". All the Sea. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ April 20, 2012.
{{cite web}}
: ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ "Greenpeace International Seafood Red list". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-02. สืบค้นเมื่อ 2017-04-20.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". 20 August 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-02. สืบค้นเมื่อ 2017-04-20.
{{cite web}}
: ระบุ|accessdate=
และ|access-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=
และ|archive-date=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=
และ|archive-url=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ Sepkoski, Jack (2002). "A compendium of fossil marine animal genera". Bulletins of American Paleontology. 364: 560. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 July 2011. สืบค้นเมื่อ 2011-05-17.