ปรากฏการณ์ไอโซโทป
ประวัติการค้นพบ
[แก้]ปรากฏการณ์ไอโซโทป(The Isotope Effect) เป็นปรากฏการณ์ที่ค้นพบโดย อี.แมกซ์เวล (E. Maxwell) และคนอื่น ๆ ในปี 1950 ภายหลังจากการค้นพบไม่นาน กลุ่มนักวิจัยรัทเกอร์(Rutgers group) จากมหาวิทยาลัยรัทเกอร์(Rutgers University) ได้เผยแพร่ข้อมูลผลการทดลองไอโซโทปของปรอท ซึ่งมีความสัมพันธ์ดังสมการ
เมื่อ
- คือ ค่ามวลไอโซโทปของปรอท
- คือ อุณหภูมิวิกฤตของไอโซโทปของปรอท
จากความสัมพันธ์ดังกล่าวนำไปสู่ข้อสรุปสำหรับตัวนำยวดยิ่งอื่น
เนื้อหา
[แก้]ปรากฏการณ์ไอโซโทป(The Isotope Effect) เป็นปรากฏการณ์จากการทดลองหาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิวิกฤติ () กับ มวลไอโซโทป () ค่าต่าง ๆ ของตัวนำยวดยิ่ง พบว่ามีความสัมพันธ์กันดังสมการ
เมื่อ คือ ค่าสัมประสิทธิ์ของไอโซโทป
สำหรับตัวนำยวดยิ่งแบบดั้งเดิมจะตรงตามทฤษฎี BCS คือ อุณหภูมิวิกฤต () แปรผันตามอุณหภูมิของเดอบาย () ที่สะท้อนถึงการสั่นแบบฮาร์มอนิกของโฟนอน แสดงให้เห็นว่าอันตรกิริยาระหว่างอิเล็กตรอนกับแลททิซที่ทำให้เกิดคู่คูเปอร์เป็นกลไกสำคัญของการเกิดสภาพนำยวดยิ่ง และอุณหภูมิของเดอบาย () แปรผันกับมวลไอโซโทปยกกำลังลบเศษหนึ่งส่วนสอง ()
เมื่อ หรือ
จะได้ว่า
ดังนั้น
ทำให้ได้ค่าสัมประสิทธิ์ของไอโซโทป
ตัวอย่างเช่น ในกรณีปรอทอุณหภูมิวิกฤตจะเปลี่ยนจาก 4.185 K ไปเป็น 4.186 K เมื่อมวลอะตอมมีค่าเปลี่ยนจาก 199.5 u เป็น 203.4 u
จาก
จะได้
แต่สำหรับตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูงจะมีค่า โดยมีทั้งที่มากกว่าและน้อยกว่าทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่ากลไกการเกิดสภาพนำยวดยิ่งเกิดจากอันตรกิริยาระหว่างอิเล็กตรอนกับแลททิซหรือไม่
ถ้าใช้การประมาณแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายสำหรับการสั่นของแลตทิซจะสามารถคำนวณค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปได้จากสมการ[1]
สำหรับผลการทดลองปรากฏว่าลำดับของค่ามวลไอโซโทป () และอุณหภูมิวิกฤต () มีผลน้อยมาก [2] เมื่อวาดกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง และ หรือความสัมพันธ์ระหว่าง และ จะได้ค่าสัมประสิทธิ์ของไอโซโทป () ของตัวนำยวดยิ่งจึงมีค่าสอดคล้องกับสมการ
นอกจากนี้จากกฎของไอโซโทป สามารถเขียนสมการหาค่าสัมประสิทธิ์ของไอโซโทป () ที่สามารถใช้งานได้สะดวกดังสมการ
โดย เป็นไปตามรูปแบบการกระจัด (displacement formula) คือ
ตารางแสดงตัวอย่างค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปของธาตุตัวนำยวดยิ่งต่าง ๆ [3]
ธาตุ | α | ธาตุ | α |
---|---|---|---|
Zn | 0.45±0.05 | Ru | 0.00±0.05 |
Cd | 0.32±0.07 | Os | 0.15±0.05 |
Sn | 0.47±0.02 | Mo | 0.33 |
Hg | 0.50±0.03 | Nb3Sn | 0.08±0.02 |
Pb | 0.49±0.02 | Zr | 0.00±0.05 |
ในระบบอะตอมเดี่ยว โลหะที่ไม่ใช่โลหะทรานซิชัน (non-transition metals) ส่วนใหญ่จะมีค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปประมาณ 0.5 ตามทฤษฎีบีซีเอส แต่ในระบบอื่น เช่น โลหะทรานซิชัน จะมีค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปต่ำกว่า 0.5 นอกจากนี้ ในตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูงจะมีค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปทั้งมากกว่าและน้อยกว่า 0.5 ขึ้นอยู่กับการเจือสารในองค์ประกอบ ตัวอย่างค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปของตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูงแสดงดังตารางด้านล่าง [4]
สารประกอบ | α |
---|---|
La1.85Sr0.15CuO4 | 0.07 |
La1.89Sr0.11CuO4 (16O-18O subst.) | 0.75 |
K3C60 (12C-13C subst.) | 0.37 or 1.4 |
ในระบบหลายอะตอมที่มีองค์ประกอบของธาตุหลายชนิด ความถี่ของเดอบาย (Debye frequency) เป็นฟังก์ชันที่ขึ้นกับมวลไอโซโทปของธาตุต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบ : Ω = Ω(M1,M2,M3,...) จะพบว่า Ω ~ Mr-αr โดย r=1,2,3,... และ αr≠0.5 โดยเรียกว่าค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปแบบแบ่งส่วน (partial isotope coefficient) เช่น ค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปของผลึกแบบคิวบิค (Cubic) ของอะตอม M1 และ M2 จะมีค่าสัมประสิทธิ์ไอโซโทปแบบแบ่งส่วน 2 ค่า คือ α1 และ α2[4]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ พงษ์แก้ว, อุดมสมุทรหิรัญ. (2559). ตัวนำยวดยิ่งพื้นฐาน (พิมพ์ครั้งที่ 1.. ed.): กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- ↑ de Launay, J. (1954). The Isotope Effect in Superconductivity. Physical Review, 93(4), 661-665. doi:10.1103/PhysRev.93.661
- ↑ Kittel,Charlws (1997). Introduction to Solid State Physics 7th edition: Jonh Wiley & Sons
- ↑ 4.0 4.1 Bill, A., Kresin, V. Z., & Wolf, S. A. (1998). The Isotope Effect in Superconductors. In Vladimir Z. Kresin (Ed.), Pair Correlations in Many-Fermion Systems (pp. 25-55). Boston, MA: Springer US.