ข้ามไปเนื้อหา

ตัวสำรอง (ฟุตบอล)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ม้านั่งตัวสำรองของทีมชาติอาร์เจนตินา

ในฟุตบอล ตัวสำรอง (อังกฤษ: substitute) คือผู้เล่นที่ได้รับการพาลงสนามระหว่างการแข่งเพื่อสับเปลี่ยนกับนักฟุตบอลที่มีอยู่ โดยทั่วไปการเปลี่ยนตัวจะทำเพื่อทดแทนผู้เล่นที่เหนื่อยล้าหรือได้รับบาดเจ็บ หรือผู้ที่ทำผลงานได้ไม่ดี หรือด้วยเหตุผลทางกลยุทธ์ (เช่น การส่งสไตรเกอร์เข้ามาแทนที่กองหลัง) โดยนักฟุตบอลที่รับการเปลี่ยนตัวระหว่างการแข่งจะไม่มีส่วนร่วมในเกมอีกต่อไป ในเกมที่เล่นภายใต้กติกาฟุตบอลของคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ

ตัวสำรองได้รับการเพิ่มอย่างเป็นทางการในกติกาฟุตบอลเมื่อ ค.ศ. 1958 ซึ่งก่อนหน้านี้เกมส่วนใหญ่เล่นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยมีข้อยกเว้นเป็นครั้งคราวในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือนักฟุตบอลมาการแข่งไม่ตรงเวลา

จำนวนตัวสำรองเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เช่นเดียวกับจำนวนผู้เล่นสำรองที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการเสนอชื่อ โดยเป็นเรื่องปกติที่เกมอนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวได้สูงสุด 5 คน ซึ่งการแข่งบางรายการอนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวเพิ่มเติมเมื่อเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ[1] อนึ่ง มี "โอกาสในการเปลี่ยนตัว" สูงสุด 3 ครั้งให้แก่แต่ละทีมในช่วงเวลาปกติ และโอกาสพิเศษในช่วงต่อเวลาพิเศษ การเปลี่ยนตัวสามารถทำได้ในช่วงพักครึ่งเวลาระหว่างช่วงปกติและช่วงต่อเวลาพิเศษ รวมถึงช่วงพักเต็มเวลา (ก่อนเริ่มช่วงต่อเวลาพิเศษ) แต่ไม่นับเป็นโอกาสในการเปลี่ยนตัว[2] นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดในการเปลี่ยนตัวเพิ่มเติมนอกเหนือจากขีดจำกัดใด ๆ ก็ตามของแมตช์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อใช้สำหรับผู้เล่นที่สมองกระทบกระเทือนโดยเฉพาะ[3]

โดยทีมต่าง ๆ เลือกผู้เล่นสำรองจากชุดตัวสำรองที่เลือกไว้ล่วงหน้า โดยนักฟุตบอลเหล่านี้มักจะนั่งอยู่ในเขตเทคนิคร่วมกับโค้ช และว่ากันว่า "อยู่ตรงม้านั่ง" เมื่อตัวสำรองเข้าสู่สนามแข่ง จะมีการกล่าวว่าได้เข้ามาหรือพามาแล้ว ในขณะที่นักฟุตบอลที่พวกเขากำลังเปลี่ยนตัวกำลังออกมา หรือพามา หรือทดแทน กลุ่มผู้เล่นสำรองนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในการแข่งส่วนใหญ่ ซึ่งปัจจุบันอนุญาตให้สำรองได้ 5, 7 หรือ 9 คน ในขณะที่ในการแข่งระดับนานาชาติ เป็นเรื่องปกติที่ผู้เล่นทุกคนที่ได้รับเลือกในทีมทัวร์นาเมนต์ (ปกติจะมีผู้เล่นทั้งหมด 23 คน) จะเป็นตัวสำรองที่มีสิทธิ์ หากพวกเขาจะไม่ถูกระงับจากเกม

ทั้งนี้ ผู้เล่นที่ได้รับการกล่าวขานว่าลงสนามบ่อยครั้งหรือทำประตูสำคัญในฐานะตัวสำรอง มักเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ซูเปอร์ซับ" (super sub)

ประวัติ

[แก้]

ต้นกำเนิดของตัวสำรองฟุตบอลย้อนกลับไปอย่างน้อยต้นคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยเป็นส่วนหนึ่งของเกมฟุตบอลโรงเรียนรัฐบาลอังกฤษ การใช้คำว่าตัวสำรองเดิมในฟุตบอลคือการอธิบายถึงการแทนที่ผู้เล่นที่ไม่มาเข้าร่วมการแข่ง ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 1863 รายงานการแข่งระบุว่า: "ทีมฟุตบอลชาร์เตอร์เฮาส์ลงแข่งในวิหารคดกับคาร์ทูเซียนส์เก่าบางคน แต่ผลจากการไม่ปรากฏตัวของบางคนที่คาดหวังไว้ จึงจำเป็นต้องจัดหาตัวสำรองสามคน"[4] การเปลี่ยนผู้เล่นที่ขาดไปเกิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1850 เช่น จากวิทยาลัยอีตัน ซึ่งใช้คำว่าเหตุฉุกเฉิน[5] ทั้งนี้ การอ้างอิงถึงผู้เล่นที่ทำหน้าที่เป็น "ตัวสำรอง" จำนวนมากเกิดขึ้นในการแข่งในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1860[6] โดยไม่ได้ระบุว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการทดแทนผู้เล่นที่หายไปหรือผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการแข่ง

แม้ว่าการเปลี่ยนตัวผู้เล่นระหว่างการแข่งจะได้รับการเพิ่มเข้าไปในกติกาฟุตบอลเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1958[7] แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการบันทึกกรณีต่าง ๆ ที่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเช่นกัน อย่างการแข่งกระชับมิตรระหว่างสโมสรฟุตบอลแลนเซอล็อตและสโมสรฟุตบอลครอสฮิลที่กลาสโกว์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1875 มีการพบว่าผู้เล่นของแลนเซอล็อตได้รับบาดเจ็บ และทีมครอสฮิล "อนุญาตให้พวกเขาส่งผู้เล่นใหม่ลงสนามแทน"[8] ส่วนการใช้ตัวสำรองในแมตช์การแข่งขันครั้งแรกสุดที่ทราบกันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1885 เมื่อสโมสรล็อกวูดบราเธอส์ใช้ตัวสำรองในการแข่งเอฟเอคัพรอบแรกนัดรีเพลย์กับสโมสรฟุตบอลนอตส์เรนเจอส์ หลังจากเอฟ. เบรียส์ ผู้เป็นกองกลางได้รับบาดเจ็บที่ขาหัก[9]

การใช้ตัวสำรองครั้งแรกในการแข่งฟุตบอลนานาชาติเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1889 ในแมตช์ระหว่างเวลส์กับสกอตแลนด์ที่เมืองเรกเซิม โดยจิม เทรนเนอร์ ผู้รักษาประตูคนแรกของเวลส์ไม่สามารถมาลงเล่นได้ ทำให้อัลฟ์ พิว ผู้รักษาประตูสมัครเล่นของเวลส์ ลงสนามเป็นตัวจริงและลงเล่นไปประมาณ 20 นาที จนกระทั่งแซม กิลลัม มาถึง และเข้ามาแทนที่เขา[10] ส่วนใน ค.ศ. 1940 ในแมตช์ระหว่างปาเลสไตน์ในอาณัติกับเลบานอน สวี ฟุคส์ ซึ่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟของปาเลสไตน์ในอาณัติได้รับการเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งจากโลเนีย ดโวริน หลังจากได้รับบาดเจ็บ[11][12] นอกจากนี้ ในช่วงคัดเลือกฟุตบอลโลก 1954 ฮอสท์ เอ็คเคิล จากเยอรมนี ยังได้รับการบันทึกว่าถูกแทนที่โดยริชชาร์ท ก็อทติงเงอร์ ในการแข่งกับซาร์ลันท์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1953[13] ส่วนการใช้ตัวสำรองในการแข่งฟุตบอลโลกนั้นไม่ได้รับอนุญาตจนกระทั่งในการแข่ง ค.ศ. 1970[14]

จำนวนตัวสำรองที่ใช้ได้ในการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากศูนย์ นั่นหมายความว่าในแต่ละทีมจะต้องลดจำนวนผู้เล่นลงหากผู้เล่นได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถลงเล่นได้ โดยใน ค.ศ. 1958 มีตัวสำรองเพียงหนึ่งคนเท่านั้น และใน ค.ศ. 1988 มีตัวสำรองสองคนจากรายชื่อผู้เล่นที่เป็นไปได้ห้าคน ครั้นเมื่อจำนวนตัวสำรองที่เพิ่มขึ้นในภายหลังทำให้จำนวนผู้เล่นสำรองที่สามารถใช้ได้เพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดคน[15] จำนวนตัวสำรองเพิ่มขึ้นเป็นสองคนบวกหนึ่งคน (ผู้รักษาประตูที่ได้รับบาดเจ็บ) ใน ค.ศ. 1994[16] แล้วเป็นสามคนใน ค.ศ. 1995[17][18] และมีตัวสำรองคนที่สี่ในรายการแข่งขันบางรายการ (เริ่มตั้งแต่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016) ในช่วงต่อเวลาพิเศษ[19] ครั้นใน ค.ศ. 2020 ตามข้อเสนอของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศได้อนุญาตให้ฝ่ายจัดการแข่งอนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ชั่วคราวไม่เกินห้าคน (โดยอนุญาตให้เปลี่ยนตัวเพิ่มเติมได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หากมี) ในการแข่งอย่างเป็นทางการในช่วงที่เหลือของปี เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาความแออัดของสถานที่จัดอันเนื่องมาจากการระบาดทั่วของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม จะมีโอกาสในการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเพียงสามครั้งเท่านั้น (โดยอาจมีการเพิ่มได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หากมี)[20]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Fisher, Ben (27 July 2016). "FA announces plans to introduce fourth substitute during extra time of FA Cup". The Guardian.
  2. "LAW 3 – The Players". IFAB. สืบค้นเมื่อ Dec 9, 2022.
  3. Thompson, Jaylon. "What is FIFA concussion protocol for World Cup 2022?". USA Today. สืบค้นเมื่อ Dec 9, 2022.
  4. Bell's Life in London and Sporting Chronicle (London, England), Sunday, February 22, 1863; pg. 7. New Readerships
  5. Bell's Life in London and Sporting Chronicle (London, England), Sunday, November 11, 1855; p. 7.
  6. Bell's Life in London and Sporting Chronicle (London, England), Saturday, December 17, 1864; Issue 2,226.
  7. "History of the Laws of the Game". Fifa.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2007. สืบค้นเมื่อ 5 September 2017.
  8. "Crosshill v Lancelot". North British Daily Mail: 6. 8 November 1875.
  9. "English Challenge Cup", Athletic News, 10 November 1885, p. 3
  10. "Wales 0 Scotland 0". www.londonhearts.com. 15 April 1889. สืบค้นเมื่อ 17 December 2011.
  11. Shohat, Elisha (2006). 100 שנות כדורגל: 1906–2006 [100 Years of Football: 1906–2006] (ภาษาฮิบรู). Hod Hasharon. pp. 109–110.
  12. "Lebanon outclassed by Palestine selected". The Palestine Post. 30 April 1940. สืบค้นเมื่อ 25 March 2020.
  13. "Switzerland 1954 : World Cup Football Host". Topendsports.com. สืบค้นเมื่อ 2009-10-25.
  14. "FIFA World Cup: Milestones, facts & figures. Statistical Kit 7" (PDF). FIFA. 26 March 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 May 2013.
  15. Taylor Rash (3 July 2014). "FIFA World Cup: FIFA Considering Fourth Substitution in Extra Time". Guardian Liberty Voice. สืบค้นเมื่อ 7 January 2015.
  16. Mark Mitchener (17 June 2014). "World Cup 2014: Golden goals, golf carts and other innovations". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 7 January 2015.
  17. Mitch Phillips (5 November 2007). "Substitute the subs rule?". Reuters Soccer Blog. Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 6, 2007. สืบค้นเมื่อ 7 January 2015.
  18. History of the Laws of the Game – 1990–2000, FIFA.com.
  19. "Regulations in English 2017 Version" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-09-05. สืบค้นเมื่อ 2017-07-13.
  20. "Five substitutes option temporarily allowed for competition organisers". International Football Association Board. 8 May 2020. สืบค้นเมื่อ 9 May 2020.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]