ข้ามไปเนื้อหา

ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์)
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์
Dwight D. Eisenhower
Official portrait of Dwight D. Eisenhower as president of the United States
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 34
ดำรงตำแหน่ง
20 มกราคม 1953 – 20 มกราคม 1961
รองประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
ก่อนหน้าแฮร์รี เอส. ทรูแมน
ถัดไปจอห์น เอฟ. เคนเนดี
ผู้บัญชาการทหารผสมสูงสุดยุโรป
ดำรงตำแหน่ง
2 เมษายน 1951 – 30 พฤษภาคม 1952
ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน
รองเบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี
ก่อนหน้าไม่มี
ถัดไปแมทธิว ริดจ์เวย์
เสนาธิการทหารบกสหรัฐ
ดำรงตำแหน่ง
19 พฤศจิกายน 1945 – 6 กุมภาพันธ์ 1948
ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน
ก่อนหน้าจอร์จ มาร์แชลล์
ถัดไปโอมาร์ แบรดลีย์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
David Dwight Eisenhower

14 ตุลาคม ค.ศ. 1890(1890-10-14)
เดนิสัน รัฐเท็กซัส สหรัฐ
เสียชีวิต28 มีนาคม ค.ศ. 1969(1969-03-28) (78 ปี)
วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ
พรรคการเมืองริพับลิกัน (ตั้งแต่ 1952)
คู่สมรสMamie Doud
บุตร2 คน
อาชีพนายทหาร, นักการเมือง
ลายมือชื่อCursive signature in ink
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้สหรัฐ
สังกัดกองทัพบกสหรัฐ
ประจำการ
  • 1915–1953
  • 1961–1969[1]
ยศจอมพล (General of the Army)
ผ่านศึก

จอมพล ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ (อังกฤษ: Dwight David "Ike" Eisenhower; 14 ตุลาคม ค.ศ. 1890 − 28 มีนาคม ค.ศ. 1969) เป็นชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งพลเอกแห่งกองทัพและรัฐบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ คนที่ 34 ตั้งแต่ค.ศ. 1953 ถึง 1961 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นนายพลระดับห้าดาวในกองทัพสหรัฐและทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกำลังรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป เขาได้รับผิดชอบในการวางแผนและควบคุมดูแลในการบุกครองแอฟริกาเหนือในปฏิบัติการคบเพลิง ใน ค.ศ. 1942-43 และประสบความสำเร็จในการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนีใน ค.ศ. 1944−45 จากแนวรบด้านตะวันตก

ไอเซนฮาวร์เกิดที่เมืองเดนิสัน รัฐเท็กซัส เขาได้ถูกรับเลี้ยงดูในรัฐแคนซัสในครอบครัวขนาดใหญ่ของเชื้อสายชาวดัตช์จากเพนซิลเวเนียส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขามีพื้นฐานทางศาสนาที่เคร่งครัด แม่ของเขาตั้งแต่เกิดมานับถือนิกายลูเธอรัน เมื่อได้สมรสที่ River Brethren และต่อมาได้กลายเป็นพยานพระยะโฮวา อย่างไรก็ตาม, ไอเซนฮาวร์นั้นไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในศาสนานิกายใดๆ จนกระทั่ง ค.ศ. 1952 เขาได้อ้างถึงการย้ายถิ่นฐานอย่างต่อเนืองในช่วงการงานอาชีพทางทหารของเขาเป็นเหตุผลเดียว[2] เขาได้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกเวสต์พอยต์ใน ค.ศ. 1915 และต่อมาก็ได้สมรสกับนางมามี เดาด์ ซึ่งได้มีลูกชายสองคน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้ปฏิเสธคำขอให้ไปทำหน้าที่ในสมรภูมิทวีปยุโรปและแทนที่จะสั่งการหน่วยที่ได้รับการฝึกฝนให้เป็นพลขับรถถัง หลังสงคราม เขาได้ทำหน้าที่ภายใต้นายพลต่างๆและได้รับการเลื่อนยศเป็นพลจัตวาในปี 1941 ภายหลังจากที่สหรัฐได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ไอเซนฮาวร์ได้ควบคุมในการบุกครองที่ประสบความสำเร็จที่แอฟริกาเหนือและเกาะซิซิลี ก่อนที่จะควบคุมดูแลการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนี ภายหลังสงคราม ไอเซนฮาวร์ได้ทำหน้าที่เป็นเสนาธิการกองทัพบกและรับบทบาทเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1951-52 เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งองค์กรนาโตคนแรก

ในปี 1952 ไอเซนฮาวร์ได้เข้าการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะที่เป็นคนของพรรครีพันลิกันเพื่อสกัดกั้นนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของวุฒิสมาชิก Robert A. Taft ที่ต่อต้านองค์กรนาโตและต้องการที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวพันกับต่างประเทศ เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและชัยชนะที่สำคัญในการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1956 ตั้งสองครั้งที่เอาชนะ Adlai Stevenson II เขาได้กลายเป็นคนของพรรครีพันลิกันคนแรกที่สามารถเอาชนะมาได้นับตั้งแต่เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ใน ค.ศ. 1928 เป้าหมายหลักของไอเซนฮาวร์ในสำนักงาน อันได้แก่ การแผ่ขยายอิทธิพล​ของสหภาพโซเวียต และลดการขาดดุลรัฐบาลกลาง ใน ค.ศ. 1953 เขาได้ข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์จนกว่าจีนจะยินยอมในข้อตกลงสันติภาพในสงครามเกาหลี ซึ่งจีนเห็นด้วยและการสงบศึกนั้นที่ยังคงมีผลอยู่ นโยบายการมองใหม่ของเขาในการยับยั้งนิวเคลียร์ซึ่งได้จัดลำดับความสำคัญของอาวุธนิวเคลียร์ที่ราคาไม่แพงในขณะที่ได้ตัดงบประมาณจากกองพลของกองทัพบกที่มีราคาแพง เขายังคงถือนโยบายของแฮร์รี เอส. ทรูแมนจากการรับรองว่า สาธารณรัฐจีนในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศจีนและเขาได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาของ Formosa Resolution การปกครองของเขาได้ให้ความช่วยเหลือที่สำคัญในการช่วยให้ฝรั่งเศสต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เวียดนามในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง หลังจากที่ฝรั่งเศสได้ถอนตัวออกไป เขาได้ให้การสนับสนุนทางการเงินที่เข้มแข็งให้กับรัฐใหม่ของเวียดนามใต้ เขาได้สนับสนุนการก่อรัฐประหารของทหารท้องถิ่นที่ต่อต้านกับรัฐบาลในอิหร่านและกัวเตมาลา ในช่วงวิกฤตการณ์คลองสุเอซ ใน ค.ศ. 1956 ไอเซนฮาวร์ได้กล่าวประณามอิสราเอล อังกฤษ และฝรั่งเศสที่ได้บุกครองอียิปต์ และเขาได้บังคับให้พวกเขาถอนตัว นอกจากนี้เขายังได้กล่าวประณามการบุกครองของโซเวียตในช่วงการปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ในช่วงวิกฤตการณ์ซีเรีย เขาได้อนุมัติแผนของซีไอเอ-เอ็มไอ6 เพื่อดำเนินเหตุการณ์ชายแดนปลอมที่เป็นข้ออ้างสำหรับการบุกครองโดยประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกที่สนับสนุนของซีเรีย[3] ภายหลังจากสหภาพโซเวียตได้เปิดตัว สปุตนิก ใน ค.ศ.1957 ไอเซนฮาวร์ได้อนุมัติให้จัดตั้งองค์กรนาซา ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันอวกาศ เขาได้ส่งทหาร 15,000 นายในช่วงวิกฤตการณ์เลบานอน ค.ศ. 1958 เมื่อใกล้ถึงสิ้นสุดของวาระ ความพยายามของเขาในการจัดตั้งการประชุมสุดยอดกับสหภาพโซเวียตที่พังทลายลง เมื่อเครื่องบินสายลับของสหรัฐถูกยิงตกเหนือน่านฟ้ารัสเซีย เขาได้อนุมัติในการบุกครองอ่าวหมู ซึ่งได้ทิ้งให้แก่ผู้รับช่วงต่อจากเขา จอห์น เอฟ. เคนเนดี เพื่อดำเนินต่อไป[4]

ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ และภริยา กับ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กำลังพูดคุยกัน ในปีพ.ศ. 2503

ในด้านภายในประเทศ, ไอเซนฮาวร์เป็นนักอนุรักษนิยมค่อนข้างปานกลางที่ยังคงสานต่อหน่วยงานโครงการสัญญาใหม่ และขยายความมั่นคงทางสังคม เขาได้แอบต่อต้าน Joseph McCarthy และมีส่วนทำให้การสิ้นสุดของ McCarthyism โดยอ้างสิทธิ์การบริหารประเทศอย่างเปิดเผย ไอเซนฮาวร์ได้ลงนามกฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1957 และส่งกองกำลังทหารของกองทัพเพื่อบังคับคำสั่งศาลรัฐบาลกลางที่รวมตัวกันที่โรงเรียนใน Little Rock, Arkansas โครงการขนาดใหญ่ของเขาคือ ระบบทางหลวงระหว่างรัฐ เขาได้ให้ความสำคัญในการจัดตั้งการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็งผ่านด้วยกฎหมายการศึกษาด้านการป้องกันประเทศ ข้อตกลงสองข้อของไอเซนฮาวร์ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคั่งทางเศรษฐกิจที่แพร่หลายซึ่งยกเว้นเพียงแค่ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ใน ค.ศ. 1958 ในคำกล่าวสุนทรพจน์การอำลาต่อประเทศของเขา ไอเซนฮาวร์ได้แสดงถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายของการใช้งบประมาณทางทหารจำนวนมาก การใช้งบประมาณดุลการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง และสัญญาของรัฐบาลที่ต่อโรงงานการผลิตทางทหารของภาคเอกชน เขาได้รับการโหวตให้เป็นชายที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดถึงสิบสองครั้งของ Gallup และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งภายในและนอกสำนักงาน การประเมินผลทางประวัติศาสตร์ของตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาทำให้เขาอยู่เหนือชั้นของประธานาธิบดหรัฐ

ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1969 รวมอายุได้ 78 ปี

เกียรติยศ

[แก้]

ยศทหาร

[แก้]
  • 12 มิถุนายน 1915 : ร้อยตรี
  • 1 กรกฎาคม 1916 : ร้อยโท
  • 15 พฤษภาคม 1917 : ร้อยเอก
  • 2 กรกฎาคม 1920 : พันตรี
  • 15 พฤษภาคม 1922 : ร้อยเอก (ลดยศเนื่องจากกองทัพถูกลดขนาด)
  • 26 สิงหาคม 1924 : พันตรี
  • 1 กรกฎาคม 1936 : พันโท
  • 6 มีนาคม 1941 : พันเอก
  • 29 กันยายน 1941 : พลจัตวา (ชั่วคราว)
  • 27 มีนาคม 1942 : พลตรี (ชั่วคราว)
  • 7 กรกฎาคม 1942 : พลโท (ชั่วคราว)
  • 11 กุมภาพันธ์ 1943 : พลเอก (ชั่วคราว)
  • 30 สิงหาคม 1943 : พลจัตวาและพลตรี
  • 20 ธันวาคม 1944 : จอมพล

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Post-presidential years". The Eisenhower Presidential Library and Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 23, 2013. สืบค้นเมื่อ September 5, 2012.
  2. "Study guide on Eisenhower and religion" (PDF). Eisenhower Presidential Library. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-01-30. สืบค้นเมื่อ August 16, 2017.
  3. Fenton, Ben (September 27, 2003). "Macmillan backed Syria assassination plot". The Guardian. สืบค้นเมื่อ March 7, 2018.
  4. Quirk, Robert E. (1993). Fidel Castro. p. 303 New York and London: W.W. Norton & Company. ISBN 978-0393034851.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ถัดไป
แฮร์รี เอส. ทรูแมน
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 34
(20 มกราคม พ.ศ. 2496 - 20 มกราคม พ.ศ. 2504)
จอห์น เอฟ. เคนเนดี
จอร์จ มาร์แชล บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1944)
แฮร์รี เอส. ทรูแมน
ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1959)
นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน