ข้ามไปเนื้อหา

บทเพลงแห่งพระเจ้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ดีวีนากอมเมเดีย)
บทเพลงแห่งพระเจ้า
Divina Commedia
Comencia la Comedia, 1472
ผู้ประพันธ์ดันเต
ชื่อเรื่องต้นฉบับCommedia
หัวเรื่องอุปมานิทัศน์ของสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการตาย
วันที่พิมพ์ค.ศ. 1308 - ค.ศ. 1321

บทเพลงแห่งพระเจ้า หรือ ดีวีนากอมเมเดีย (อิตาลี: Divina Commedia) เป็นวรรณกรรมอุปมานิทัศน์ที่ดันเต อาลีกีเอรี เขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1308 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1321 ถือเป็นกวีนิพนธ์สำคัญของวรรณกรรมอิตาลีและเป็นหนึ่งในงานชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของวรรณกรรมของโลก[1] กวีนิพนธ์นี้เป็นเป็นจินตนิยายและอุปมานิทัศน์ของคริสเตียนสะท้อนให้เห็นถึงการวิวัฒนาการของปรัชญาสมัยกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับโรมันคาทอลิกของตะวันตก นอกจากนั้นก็ยังเป็นหนังสือที่มีบทบาทต่อสำเนียงทัสคัน (Tuscan dialect) ตามที่เขียนเป็นภาษาอิตาลีมาตรฐาน[2]

“บทเพลงแห่งพระเจ้า” แบ่งออกเป็นสามตอน “นรก” (Inferno) “แดนชำระ” (Purgatorio) และ “สวรรค์” (Paradiso) กวีนิพนธ์เขียนในรูปของบุคคลที่หนึ่งและเป็นเรื่องที่บรรยายการเดินทางของดานเตไปยังภูมิสามภูมิของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่เริ่มการเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงวันพุธหลังจากวันอีสเตอร์ของปี ค.ศ. 1300 โดยมีเวอร์จิล กวีโรมัน เป็นผู้นำใน “นรก” และ “แดนชำระ” และเบียทริเช พอร์ตินาริ เป็นผู้นำใน “สวรรค์” เบียทริเชเป็นสตรีในอุดมคติที่ดันเตพบเมื่อยังเป็นเด็กและชื่นชมต่อมาแบบรักเทิดทูน ที่พบในงานสมัยแรกของดันเตใน “ชีวิตใหม่” (La Vita Nuova) ที่เขียนในปี ค.ศ. 1295

ชื่อเดิมของหนังสือก็เป็นเพียงชื่อสั้นๆ ว่า “Commedia” แต่ต่อมา โจวันนี บอกกัชโชก็มาเพิ่ม “Divina” ข้างหน้าชื่อ ฉบับแรกที่พิมพ์ที่มีคำว่า “Divine” อยู่หน้าชื่อ เป็นฉบับที่โลโดวีโก ดอลเช (Lodovico Dolce) นักมานุษยวิทยาฟื้นฟูศิลปวิทยาของเวนิส พิมพ์ในปี ค.ศ. 1555[3]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Bloom, Harold (1994). The Western Canon. See also Western canon for other "canons" that include the Divine Comedy.
  2. See Lepschy, Laura (1977). The Italian Language Today. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help) or any other history of Italian language.
  3. Ronnie H. Terpening, Lodovico Dolce, Renaissance Man of Letters (Toronto, Buffalo, London: University of Toronto Press, 1997), p. 166.