ดาบล่าพญามาร โดโรโระ
ดาบล่าพญามาร โดโรโระ | |
---|---|
ใบปิดภาพยนตร์ | |
กำกับ | อะกิฮิโกะ ชิโอตะ |
เขียนบท | ต้นฉบับ: จากมังงะชื่อเดียวกันของ โอซามุ เทตสึกะ |
อำนวยการสร้าง | ทาเคชิ ฮิราโน |
นักแสดงนำ | ซาโตชิ ซึมาบุกิ โค ชิบาซากิ |
ผู้จัดจำหน่าย | เจ-บิคส์ฟิล์ม ยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ส (ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา)[1] |
วันฉาย | 21 มกราคม 2550 7 มิถุนายน 2550 |
ความยาว | 139 นาที |
ประเทศ | ญี่ปุ่น |
ภาษา | ญี่ปุ่น |
ข้อมูลจาก IMDb | |
ข้อมูลจากสยามโซน |
ดาบล่าพญามาร โดโรโระ (ญี่ปุ่น: どろろ; โรมาจิ: Dororo) ภาพยนตร์ญี่ปุ่นในแนวพีเรียดผสมแฟนตาซี นำแสดงโดย โยชิโอะ ฮาราดะ, ซาโตชิ ซึมาบุกิ, โค ชิบาซากิ เข้าฉายในประเทศไทย 7 มิถุนายน พ.ศ. 2550
เนื้อเรื่องย่อ
[แก้]เรื่องราวเกิดขึ้นในญี่ปุ่นยุคเซ็นโกคุหรือในยุคสงครามระหว่างแคว้นปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ 48 ตนหรือที่รู้จักกันในชื่อ มาจินส์ (เทพปีศาจ) สัมผัสได้ว่าเวลาแห่งการกำเนิดของมนุษย์ผู้ทรงด้วยฤทธานุภาพซึ่งเมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะกลายเป็นผู้กุมชัยชนะเหนือเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งปวงได้เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาทุกขณะ
คาเงะมิตสึ ไดโกะ ซามูไรผู้เป็นบิดาของมนุษย์ผู้นั้นซึ่งยังมิได้ถือกำเนิดขึ้นมา คาเงะมิตสึได้ทำข้อตกลงกับเหล่ามาจินส์ทั้ง 48 ตน โดยมีเงื่อนไขให้ตนชนะสงครามและเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และไม่พ่ายแพ้แก่ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นการรบที่ไหนก็ตาม คาเงะมิตสึได้ใช้ 48 อวัยวะสำคัญของร่างกายของลูกชายที่ยังมิได้ถือกำเนิดของเขาคนนี้ไว้เป็นสิ่งค้ำประกันกับพวกปีศาจ
ต่อมาลูกของคาเงะมิตสึได้ถือกำเนิดขึ้น โดยไร้อวัยวะสำคัญของร่างกายทั้ง 48 จนดูเหมือนตัวหนอน แต่สามารถร้องได้ คาเงะมิตสึจึงนำเด็กน้อยใส่ตะกร้าแล้วปล่อยลอยไปตามน้ำ
เป็นโชคดีของเด็กน้อยที่ได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์ผู้มีนามว่า จูไค (โยชิโอะ ฮาราดะ) เด็กน้อยที่ถูกเก็บมาได้รับการขนานนามจากจูไคว่า เฮียกกุมารุ จูไคได้ทำการคิดค้นเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมได้อย่างยอดเยี่ยมเอาไว้มากมายในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้เด็กน้อย เฮียกกุมารุ ดำเนินชีวิตได้อย่างคนปกติทั่วไป และเฮียกกุมารุยังมีพลังเหนือธรรมชาติหลายประการทำให้เขาสามารถมองเห็น พูดคุยได้ยินทั้งที่ไม่มีตา ปาก หรือ หู และจูไคก็ได้ตีดาบขึ้นมา 2 เล่ม และติดเป็นแขนให้กับเฮียกกุมารุ พร้อมกับสอนเพลงดาบให้
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่เฮียกกุมารุ (ซาโตชิ ซึมาบุกิ) ได้ออกเดินทางเพื่อกำจัด มาจินส์ทั้ง 48 เพื่อนำเอาร่างกายของเขากลับคืนมา หลังจากเดินทางได้ไม่นานเขาก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นเด็กน้อยผู้มีความสามารถเกินวัย เป็นหัวขโมยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนั่นคือ โดโรโระ (โค ชิบาซากิ) ทั้งเฮียกกุมารุและโดโรโระเดินทางไปทั่วอาณาจักรญี่ปุ่น ช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกกดขี่และต่อสู้กับเหล่าปีศาจ โดยมีความหวังว่าวันหนึ่งเฮียกกุมารุจะได้ร่างกายทั้งหมดคืนกลับมาจากมาจินส์ทั้ง 48 ตน เมื่อเฮียกกุมารุฆ่าปีศาจไป 1 ตน ก็จะได้อวัยวะคืนมา 1 ชิ้น[2]
เบื้องหลังและการออกฉาย
[แก้]Dororo เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนในชื่อเดียวกัน ของโอซามุ เทตสึกะ นักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่นผู้ได้ฉายาว่า บิดาแห่งการ์ตูนญี่ปุ่น (ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยโดย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ)[3]
โดยได้มี เฉิน เสี่ยวตง นักแสดงและผู้กำกับฉากแอ๊คชั่นชื่อดังชาวฮ่องกง มาทำหน้าที่กำกับฉากแอ๊คชั่นในเรื่องนี้ด้วย และได้ชมซาโตชิ ซึมาบุกิ นักแสดงชาวญี่ปุ่นผู้รับบทนำในเรื่องว่า มีตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง[4]
ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยเมื่อกลางปี พ.ศ. 2550 และฉายทางโทรทัศน์ทางช่อง 7 เมื่อวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 03.25 น.[5]