ข้ามไปเนื้อหา

ฉบับร่าง:แรดสุมาตราเหนือ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แรดสุมาตราเหนือ
แรดสุมาตราเหนือรู้จากกันดีในชื่อว่า "แจ็คสัน" ที่ สวนสัตว์ลอนดอน (ถ่ายในช่วง 1903-1905)
สถานะการอนุรักษ์

อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว (IUCN 3.1)[1]
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอตา
Eukaryota
อาณาจักร: สัตว์
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้น: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
อันดับ: อันดับสัตว์กีบคี่
วงศ์: แรด
สกุล: Dicerorhinus
สปีชีส์: D.  sumatrensis
สปีชีส์ย่อย: D.  s. lasiotis
Trinomial name
Dicerorhinus sumatrensis lasiotis
(Buckland, 1872)

แรดสุมาตราเหนือ ( Dicerorhinus sumatrensis lasiotis ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ แรดจิตตะกอง หรือ แรดขนเหนือ เป็น แรดสุมาตรา ชนิดย่อยที่กระจายตัวมากที่สุด และยังเป็นชนิดย่อยเพียงชนิดเดียวที่รู้จักซึ่งมีถิ่นในเอเชีย

การพบเห็นแรดสุมาตราเหนือครั้งสุดท้ายที่ได้รับการยืนยันเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2503 เมื่อมีรายงานว่าพบแรดสุมาตราเหนือ 7 ตัวในกรงขังที่สวนสัตว์และคณะละครสัตว์ต่างๆ [2] [3] การพบเห็นครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้รับการยืนยันใน อินเดีย เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2510 ในรัฐอัสสัม โดยเฉพาะใกล้พื้นที่ชายแดนที่อยู่ติดกับรัฐ อรุณาจัลประเทศ [4] ในปีพ.ศ. 2529 มีการพบเห็นที่ ตามันเนอการา มาเลเซียตะวันตก โดยที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แม้ว่าสายพันธุ์นี้จะถือว่าสูญพันธุ์ไปแล้วในภูมิภาคนี้ก็ตาม [5] การพบเห็นครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้รับการยืนยันเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2536 ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า Htamanthi ประเทศพม่า ซึ่งคนในพื้นที่อ้างว่าเคยเห็นแรดชนิดนี้ [6]

แม้ว่าจะได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าสูญพันธุ์ หลายครั้งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่มีรายงานว่าประชากรจำนวนเล็กน้อยอาจยังคงมีอยู่ในป่า เช่น ใน พม่า และ คาบสมุทรมาเลเซีย แม้ว่าจะยังไม่แน่ชัดก็ตาม [7] [8] เมื่อปี พ.ศ. 2551 IUCN จัดให้เป็น "สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง"

อนุกรมวิธาน

[แก้]
ภาพแรดสุมาตราเหนือโดย Friedrich Wilhelm Kuhnert เมื่อปี 1927

แรดสุมาตราชนิดย่อยบนแผ่นดินใหญ่ได้รับชื่อว่า Dicerorhinus sumatrensis lasiotis ชื่อ Lasiotis มาจากภาษากรีกที่แปลว่า "หูมีขน" เนื่องจากแรดสุมาตราเหนือมีขนที่หูยาวกว่าอย่างน่าทึ่ง แรดสุมาตราพันธุ์ย่อยทางเหนือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แรดสุมาตราหูมีขน หรือ แรดขอบหู ด้วยเหตุนั้น

มีการถกเถียงกันว่าควรพิจารณาตัวอย่างของแรดสุมาตราเหนือ ให้เป็นชนิดย่อยที่แยกจากตัวอย่าง แรดสุมตราตะวันตก ที่คล้ายกันจากอินโดนีเซียหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นชนิดย่อย เนื่องจากแรดสุมาตราเหนือมีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยมีขนบริเวณหูที่ยาวกว่าปกติ และเขาที่ยาวและใหญ่กว่า [9]

คำอธิบาย

[แก้]

แรดสุมาตราเหนือเป็นชนิดย่อยที่ใหญ่ที่สุด มันมีขนบนหูที่ยาวกว่าและมีเขาที่ยาวกว่า อย่างไรก็ตาม อาจมีขนบนลำตัวน้อยกว่า แรดสุมาตราตะวันตก [9]

ถิ่นอาศัยและการกระจายพันธุ์

[แก้]

แรดสุมาตราเหนืออาศัยอยู่ใน ป่าดิบชื้น ที่ลุ่มน้ำขัง ป่าเมฆ ป่าดงดิบ และ ทุ่งหญ้า ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา ใกล้แม่น้ำ หุบเขาสูงชันด้านบน และ ภูเขา

แรดสุมาตราเหนือเป็นแรดสุมาตราที่มีการกระจายพันธุ์มากที่สุด มีอาณาเขตตั้งแต่ อินโดจีน อินเดีย ตะวันออก เทือกเขาหิมาลัย ตะวันออกของ ภูฏาน และ บังกลาเทศ ไปจนถึง เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ในทางตอนเหนือของ จีน แรดขนเหนือได้รับการประกาศว่าสูญพันธุ์ในอินเดีย บังกลาเทศ จีน และประเทศอื่นๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 และสูญพันธุ์อีกครั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียในปี 1997 [10] แม้ว่าจะมีข้ออ้างว่าแรดเหล่านี้ยังคงมีอยู่ต่อไปที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทามันธี ใน พม่า แม้ว่าสายพันธุ์นี้จะถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ในเมียนมาร์แล้วตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 แต่เมื่อไม่นานนี้ก็ยังมีรายงานการพบเห็นแรดสุมาตราหลายครั้ง รายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันระบุว่าประชากรแรดสุมาตราเหนือจำนวนเล็กน้อยอาจยังคงมีชีวิตอยู่ในเมียนมาร์ แต่ สถานการณ์ทางการเมือง ในประเทศทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ [7] ยังมีความเป็นไปได้ที่แรดขนเหนือยังคงอาศัยอยู่ใน ตามันเนอการา การาจากมาเลเซียตะวันตก แม้ว่าการอยู่รอดของประชากรคาบสมุทรมาเลเซียจะยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง [8]

ในกรงขัง

[แก้]
แรดสุมาตราเหนือเพศเมีย "begum" ในสวนสัตว์ลอนดอนตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2443

แรดสุมาตราเหนือ เช่นเดียวกับแรดอีกสองชนิดย่อยไม่ได้อาศัยอยู่นอกระบบนิเวศ และไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ดีในที่เลี้ยง ไม่เคยมีตัวอย่างสัตว์ที่เกิดในสวนสัตว์เลยนับตั้งแต่ที่มีสัตว์ที่เกิดสำเร็จเพียงตัวเดียวใน สวนสัตว์อาลีปอร์ ในประเทศอินเดียเมื่อปี พ.ศ. 2432 สวนสัตว์ลอนดอน ได้รับสัตว์ตัวผู้และตัวเมียมาในปี พ.ศ. 2415 ซึ่งถูกจับที่ จิตตะกอง ในปี พ.ศ. 2411 แรดตัวเมียที่มีชื่อว่า "begum" สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงปี พ.ศ. 2443 ซึ่งถือเป็นสถิติอายุขัยของแรดในกรงขัง [11] begumเป็นหนึ่งในอย่างน้อยเจ็ดตัวอย่างจากสัตว์จำพวกย่อยที่สูญพันธุ์ไปแล้ว อย่าง D. s. lasiotis ที่ถูกเลี้ยงไว้ในสวนสัตว์และคณะโรงละครสัตว์

การพรรณนาทางวัฒนธรรม

[แก้]
ภาชนะใส่ไวน์รูปแรดสัมฤทธิ์สองเขา ประดับด้วยเงิน จากสมัย ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

แรดสุมาตราเหนือเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสัตว์ที่ได้รับความเคารพและปรากฎใน วรรณคดีจีน มากที่สุด งานศิลปะและรูปปั้นแรดสองเขาในสมัยโบราณและสมัยใหม่ของจีนส่วนใหญ่เป็นภาพแทนของแรดสุมาตราตอนเหนือ

นักธรรมชาติวิทยาและนักล่าในยุคอาณานิคมรวบรวมนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับแรดสุมาตราจำนวนหนึ่งตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ใน พม่า ซึ่งเคยเป็นถิ่นอาศัยของแรดสุมาตราสายพันธุ์ย่อยทางเหนือ มีความเชื่อกันว่าแรดสุมาตรากินไฟเป็นที่แพร่หลาย นิทานได้เล่าถึงแรดกินไฟที่ตามควันไปจนถึงแหล่งกำเนิด โดยเฉพาะกองไฟ แล้วจึงโจมตีค่าย ชาวพม่ายังเชื่ออีกด้วยว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการล่าสัตว์คือทุกๆ เดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่แรดสุมาตราจะมารวมตัวกันภายใต้แสงจันทร์เต็มดวง

อ้างอิง

[แก้]
  1. van Strien, N.J.; Manullang, B.; Sectionov, Isnan, W.; Khan, M.K.M; Sumardja, E.; Ellis, S.; Han, K.H.; Boeadi, Payne, J. & Bradley Martin, E. (2008). "Dicerorhinus sumatrensis". IUCN Red List of Threatened Species. 2008: e.T6553A12787457. doi:10.2305/IUCN.UK.2008.RLTS.T6553A12787457.en.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  2. Rookmaaker, L. C. (1980). "The distribution of the rhinoceros in Eastern India, Bangladesh, China, and the Indo-Chinese region". Zoologischer Anzeiger. 205 (3–4): 253–268.
  3. Roth, T.L. (1960). International Zoo Yearbook II. Zoological Society of London. pp. 487–502.
  4. Choudhury, A. U. (1997). "The status of the Sumatran rhinoceros in north-eastern India". Oryx. 31 (2): 151–152. doi:10.1017/S0030605300022010 (inactive 2024-11-20).{{cite journal}}: CS1 maint: DOI inactive as of พฤศจิกายน 2024 (ลิงก์)
  5. Nardelli, F. (2014). "The last chance for the Sumatran Rhinoceros?". Pachyderm. 55: 43–53. doi:10.69649/pachyderm.v55i.353. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่า |doi= (help)
  6. Rabinowitz, A. (1995). "A survey to assess the status of the Sumatran rhinoceros and other large mammal species in Tamanthi Wildlife Sanctuary, Myanmar". Oryx. 29 (2): 123–128. doi:10.1017/S0030605300021025.
  7. 7.0 7.1 Foose, Thomas J.; van Strien, Nico (1997). Asian Rhinos – Status Survey and Conservation Action Plan. IUCN, Gland, Switzerland, and Cambridge, UK. ISBN 2-8317-0336-0.
  8. 8.0 8.1 "Sumatran rhino numbers revised downwards". Save The Rhino. สืบค้นเมื่อ 27 September 2015.
  9. 9.0 9.1 Rookmaaker, L. C. (1984). "The taxonomic history of the recent forms of Sumatran Rhinoceros (Dicerorhinus sumatrensis)". Journal of the Malayan Branch of the Royal Asiatic Society. 57 (1): 12–25. JSTOR 41492969.
  10. Choudhury, A. U. (1997). "The status of the Sumatran rhinoceros in north-eastern India" (PDF). Oryx. 31 (2): 151–152. doi:10.1046/j.1365-3008.1997.d01-9.x.
  11. Lydekker, Richard (1900). The great and small game of India, Burma, and Tibet. Asian Educational Services. ISBN 978-81-206-1162-7.