ฉบับร่าง:พระเจ้าพงษาสุระ
ฉบับร่างนี้ถูกตีกลับ เมื่อ 10 ตุลาคม 2567 โดย Timekeepertmk (คุย) 1. การอ้างอิงไม่ครอบคลุม
2. เนื้อหาของบทความต้องเจาะจงบทบาทของกษัตริย์ มากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรนั้น ๆ
ขอความช่วยเหลือ
วิธีปรับปรุงบทความของคุณ
คุณยังสามารถดู วิกิพีเดีย:บทความคัดสรร และ วิกิพีเดีย:บทความคุณภาพ เพื่อค้นหาตัวอย่างบทความที่ดีที่สุดของวิกิพีเดียในหัวข้อที่คล้ายกับบทความที่คุณแจ้งทบทวน ทรัพยากรการแก้ไข
|
ฉบับร่างนี้ถูกตีกลับ เมื่อ 2 เมษายน 2567 โดย Kaoavi (คุย) เนื้อหาของฉบับร่างที่ส่งมาไม่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนอย่างเพียงพอ แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจำเป็นต่อการพิสูจน์ยืนยันได้ของเนื้อหา หากคุณต้องการความช่วยเหลือสำหรับการอ้างอิง โปรดดูที่ การอ้างอิงสำหรับผู้เริ่มต้น และ วิกิพีเดีย:การอ้างอิงแหล่งที่มา |
- ความคิดเห็น: กรุณาอย่านำเว็บไซต์ socialและเว็บกระทู้ เช่น facebook มาอ้างอิงครับ เว็บที่ควรนำมาอ้างอิงควรเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ Kaoavi (คาโอะเอวีไอ) (คุย) 21:41, 2 เมษายน 2567 (+07)
นี่คือบทความฉบับร่างซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถแก้ไขได้ โปรดตรวจสอบว่าเนื้อหามีลักษณะเป็นสารานุกรมและมีความโดดเด่นควรแก่การรู้จักก่อนที่จะเผยแพร่เป็นบทความลงในวิกิพีเดีย กรุณาอดทนรอผู้เขียนคนอื่นมาช่วยตรวจให้ อย่าย้ายหน้าไปเป็นบทความเองโดยพลการ ค้นหาข้อมูล: Google (books · news · newspapers · scholar · free images · WP refs) · FENS · JSTOR · NYT · TWL สำคัญ: ถ้าลบป้ายนี้ออกจะทำให้บันทึกหน้าไม่ได้ ผู้แก้ไขหน้านี้คนล่าสุด คือ Timekeepertmk (พูดคุย | เรื่องที่เขียน) เมื่อ 2 เดือนก่อน (ล้างแคช) |
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
พงษาสุระ | |
---|---|
ครองราชย์ | พ.ศ. 1806 - 1818 |
รัชสมัย | 12 ปี |
ราชาภิเษก | พ.ศ. 1806 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าจันทรภาณุ |
ถัดไป | ล่มสลาย ไม่มีรัชทายาทสืบราชบัลลังก์ |
ประสูติ | ไม่ทราบ |
สวรรคต | พ.ศ. 1818 |
ราชวงศ์ | ปัทมวงศ์ |
พระบิดา | ไม่ทราบ |
พระมารดา | ไม่ทราบ |
ศาสนา | พุทธ |
พระเจ้าพงษาสุระ[1] เป็นกษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรตามพรลิงค์และแจฟฟ์นา[2] พระองค์เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าจันทรภาณุกษัตริย์แห่งตามพรลิงค์ในราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชหรือปัทมวงศ์[3] พระองค์เข้ายึดภาคเหนือของศรีลังกาในปี พ.ศ. 1798 ในระหว่างที่พระองค์ปกครองอาณาจักรแจฟฟ์นา มาร์โค โปโล นักเดินทางชาวเวนิส ได้เดินทางมาเยือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของศรีลังกา
โรคห่าครั้งใหญ่ในปลายรัชสมัยของพระองค์ ทรงเป็นพระอนุชาในพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชและพระเจ้าจันทรภาณุ[4]
หลังการสวรรคตของมหาราชจันทรภาณุ พระอนุชาของพระองค์ที่มีพระนามว่า “ พงษาสุระ ” ได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ท่ามกลางความเสื่อมสลายของบ้านเมือง ศรีวิชัยในตอนสุดท้ายนี้ ได้เปรียบประหนึ่งราชสีห์ที่ชราและบาดเจ็ด อยู่ท่ามกลางสัตว์ร้ายที่หนุ่มเต็มกำลัง ด้วยสภาวะบ้านเมืองที่ถดถอย จึงทำให้หัวเมืองที่ห่างไกล “ ค่อยๆ ” เอาใจออกห่าง บ้างก็ประกาศตัวเป็นอิสระ บ้างก็ส่งบรรณาการตามนึกชอบ
หลังจากที่ศรีวิชัยสูญเสียสิงหลให้กับราชวงศ์ศิริสังฆโพธิ ที่มีสำนักมหาวิหารคอยหนุนหลังแล้ว พระเจ้าปรากรมพาหุ พร้อมพระเถระในฝ่ายมหาวิหารได้เข้าชำระล้างฝ่ายอภัยคีรีวิหาร บีบบังคับให้ฝ่ายอภัยคีรีวิหาร “ ยอมแพ้ ” และ “ ยอมสวามิภักดิ์ ” แก่ฝ่ายมหาวิหาร ที่ตอนนี้กลายเป็นขั้วอำนาจเต็มในสิงหล ดินแดนสุดท้ายที่เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ชัยชนะได้ตกแก่ฝ่ายเถรวาท ทำให้พระภิกษุในนิกายเถรวาทจากลังกาเดินทางมายังดินแดนต่างๆ ในสุวรรณภูมิ ทางตะวันตกได้ผ่านอาณาจักรหงสาวดีเป็นหลัก ส่วนในทางตะวันออก กลุ่มภิกษุเถรวาทจากสิงหลได้ผ่านศิริธรรมนคร ขึ้นไปยังดินแดนต่างๆ ในราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งการเผยแผ่ของพระภิกษุนิกายเถรวาทนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะพราหมณ์เจ้าถิ่นเองก็สนับสนุน ใช้พระภิกษุเถรวาทไปจัดการล้มล้างอิทธิพลของนักบวชวัชรยานให้หมดสิ้น ดังที่เห็นได้จากร่องรอยการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อในอาณาจักรพระนคร ที่มีการทำลายล้างศาสนสถานในนิกายวัชรยานอย่างราบคาบ
ความเสื่อมโทรมในปลายรัชสมัย
[แก้]บ้านเมืองศรีวิชัยในยุคสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชพงษาสุระ เป็นยุคที่ต้องการ การฟื้นฟูอย่างหนักหลังจากที่ศรีวิชัยพ่ายแพ้ยุทธนาวีที่สิงหลถึงสองครั้ง การศาสนา ได้เกิดการผสมผสานระหว่างพระภิกษุในนิกายดั่งเดิม และนิกายที่มาจากต่างถิ่น จนกระทั่งพัฒนาเป็นระบบ “ พระครูสี่กา ” ขึ้นมาเพื่อดูแลพระมหาสถูปยอดทองในแต่ละทิศ หลังจากที่มหาราชพงษาสุระสามารถจัดการความวุ่นวายทางศาสนาลงได้ พระองค์ก็ต้องเผชิญกับภัยความขัดแย้งที่ใหญ่กว่า เมื่ออาณาจักรเดคีรีทางใต้ ได้กลายเป็นอาณาจักรสิงหัสส่าหรี นำโดยพระเจ้าเกียรตินคร หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “ อิเหนามิสาระปันหยี ” ได้ยกทัพชาวชวาเข้าทำสงครามกับหัวเมืองมลายูทางตอนเหนือ และความขัดแย้งลุกลามบานปลายไปยังดินแดนบนคาบสมุทรแหลมทอง จนกระทั่งทางราชสำนักศรีวิชัยต้องส่งพระราชสาสน์ไปยังราชสำนักหยวนที่กรุงเป่ยจิ่ง พระจักรพรรดิแห่งมองโกลได้ส่งพระราชโองการให้ประเทศในมลายู และ หัวเมืองศรีวิชัยหยุดวิวาทกัน ซึ่งไม่มีความขัดแย้งภายในอาณาจักรครั้งใด จะต้องไปพึ่งพา “ ผู้มีอำนาจภายนอก ” มายุติความขัดแย้งเลยสักครั้ง
ความขัดแย้งระหว่างศรีวิชัย – สิงหัสส่าหรีครั้งนี้ มีบันทึกในตำนานพื้นเมืองนครศรีธรรมราช ได้กล่าวว่า “ พญาชวา ” ได้ยกทัพมาตีเมืองนครศรีธรรมราช ได้ทำอุบายจับกุมตัวพระเจ้าพงษาสุระ ให้พระอัครมเหสีมาไถ่ตัวและได้เรียกส่วยไข่เป็ด และทรัพย์สินอื่นๆ เป็นเครื่องบรรณาการอยู่นานถึง ๑๕ ปี จนบังเกิดมีขุนพลหนุ่มพื้นเมืองนามว่า “ พังพะการ ” ขึ้นมาช่วยกอบกู้บ้านเมืองจากชวา จึงทำให้เมืองนครศรีธรรมราช และอาณาจักรทั้งหมดรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นอีกครั้ง
ผลจากสงครามระหว่างชวา และ ศรีวิชัยได้ส่งผลให้หัวเมืองในทางปลายคาบสมุทรเริ่มอยากเป็นอิสระ หลายเมืองจึงประกาศตนไม่ขึ้นต่อศิริธรรมนครอีกต่อไป แต่ยังมีอยู่บ้างเมืองที่ขึ้นต่อศิริธรรมนครอยู่ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ตอนปลาย ถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตอนต้น โลกได้บังเกิดกระแสโลกาภิวัฒน์ เมื่อผลพวงจากการพิชิตโลกของราชวงศ์หยวนได้นำมาซึ่งการเชื่อมเส้นทางระหว่างผู้คนจากตะวันออกและตะวันตก พระจักรพรรดิจากดินแดนทุ่งหญ้าได้รวบรวมเอานักปราชญ์ และนายช่างผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักรต่างๆ ที่พระองค์พิชิตได้มารวมกันในราชสำนัก ให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาการช่วยกันพัฒนาสิ่งประดิษฐ์สำหรับเดินทาง เช่น เข็มทิศ เรือเดินทะเล อาวุธต่อสู้ ดินระเบิด และการค้าขาย จนทำให้พ่อค้าจากต้าหยวนสามารถเดินทะเลได้ยาวนานขึ้น สามารถล่องเรือทางไกลได้นานขึ้น และเดินทางไปยังเมืองท่าต่างๆ ได้โดยไม่ผ่านตัวกลางอีกต่อไป ส่งผลให้ตลาดการค้าของศรีวิชัยเปลี่ยนแปลง เนื่องจากขาดการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งส่งผลให้การค้าขายของศรีวิชัยในยุคของมหาราชพงษาสุระลดลง แม้ว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชพระองค์สุดท้ายจะทรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ แต่เพราะราชสำนักของศรีวิชัย ในราชวงศ์ปทุมวงศ์ได้ สาวะวนอยู่กับความขัด แย้งในหมู่พระญาติ และ สนใจในทางพระศาสนาจนขาดความใส่ใจในเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอก
สงครามที่จักรวรรดิมองโกลได้ก่อไว้ให้กำเนิดโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนทีละมากๆ เป็นที่รู้จักกันในนาม “ กาฬโรค ” โรคระบาดที่มีหนูเป็นพาหะ ได้ระบาดในทวีปยุโรปจนกลายเป็นยุคมืด และในช่วงเวลาเดียวกัน ในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง หลายอาณาจักรกลับประสบกับโรคระบาดที่เรียกกันว่า “ ไข้ห่า ” ที่มีอานุภาพรุนแรงทำให้ผู้คนล้มตายส่งผลให้เมืองร้างลงในระยะเวลารวดเร็ว ในบันทึกตำนานพื้นเมืองนครศรีธรรมราช ได้บันทึกถึงจุดจบของอาณาจักรศรีวิชัยว่าถูกโรคระบาดที่เรียกกันว่า “ ไข้ยมบน ” ระบาดในระยะเวลารวดเร็ว ผู้คนในราชสำนักต่างลงเรือเพื่ออพยพหลบ หนี แต่ไม่สามารถหนีโรคระบาดพ้นถึงแก่กาลเสียชีวิตหมดสิ้น ส่วนพระเจ้าพงษาสุระนั้น ตำนานพื้นเมืองได้ระบุว่าพระองค์ทรงหลบหนีไปอาศัยยังเทือกเขาทางตะวันตกจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นั้น พลเมืองส่วนใหญ่ของพระองค์สูญเสียไปจากโรคภัย ในครั้งนี้ จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถฟื้นฟูบ้านเมืองของพระองค์ได้อีกเลย และศรีวิชัยที่ประสบผลจากโรคระบาดในทั่วทุกเมืองท่า ก็ไม่สามารถฟื้นบ้านคืนเมืองได้ เนื่องจากความร้ายแรงของกาฬโรค ที่สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนจนยากจะกลับมายังถิ่นฐานเดิมได้
ในระหว่างที่โรคระบาดยังคงแพร่กระจายในดินแดนคาบสมุทรสยามนี้ คาดว่าความร้ายแรงของโรคคงจะกินเวลาหลายปีกว่าจะสงบ และในระยะ เวลานั้นเอง ได้คาดว่าพระเจ้าพงษาสุระคงจะสวรรคตลง ไม่สามารถหารัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ และขาดกำลังคนในการฟื้นฟูอาณาจักร จึงทำให้ศรีวิชัยต้องล่มสลายลงไปตลอดกาล
สาเหตุของการล่มสลาย
[แก้]สาเหตุสำคัญของการล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัยในยุคตอนปลายนั้น สามารถจับประเด็นได้โดยหลักๆ แล้ว มีอยู่ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
๑. เพราะขาดความสนใจเหตุการณ์ของโลกภายนอก นี่เป็นจุดอ่อนประการหนึ่งของอาณาจักรทะเลใต้ ที่ไม่ใส่ใจต่อสถานการณ์ความเป็นไปของโลกภายนอก ส่งผลให้ไม่สามารถวิเคราะห์ความต้องการ และสนองความต้องการสินค้าของโลก
๒. ไม่สามารถควบคุมความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติได้ ถึงแม้ว่าอาณาจักรรอบข้างศรีวิชัยจะล้วนเป็นเครือญาติกันทั้งสิ้น แต่ศรีวิชัยกลับไม่สามารถควบคุม หรือ ห้ามปราบได้ จนในที่สุดอาณาจักรเหล่านั้นจึงพากันวิวาทเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ของความเป็นเจ้าแห่งน่านน้ำมหาสมุทร เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบกับการค้าขาย
๓. เพราะรูปแบบการปกครองที่ใช้ระบบราชาธิบดี หรือ ระบบพระอินทร์ กล่าวคือ มหาราช ผู้ปกครองสูงสุดของศรีวิชัย มาจากการคัดเลือกของพระราชาหัวเมืองต่างๆ ภายในอาณาจักร จึงทำให้ “ ความภักดี ” และการควบคุมด้วยพระราชอำนาจของมหาราชจึงทำได้ไม่เต็มที่เหมือนระบบราชาธิปไตยสมบูรณ์ ถ้ามหาราชพระองค์ใดมีพระราชอำนาจเข้ม แข็ง ก็สามารถบังคับใช้พระราชอำนาจได้เต็มที่ แต่ถ้ามหาราชพระองค์ใดทรงอ่อนแอ ทำให้พระราชาที่ไม่พอพระทัยจะแสดงการแบ่งแยกทันที
หลังจากการล่มสลาย
[แก้]ภายหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัยในรัชสมัยสุดท้าย เมืองนครศรีธรรมราชได้ถูกทิ้งปล่อยให้เป็นเมืองร้างอยู่เป็นเวลาราว 12 ปี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 1830 พระพนมวัง พระเจ้ากรุงเพชรบุรี อันเป็นเครือพระญาติห่างๆ นับแต่สมัยพระเจ้าจันทรภาณุได้เข้ามาฟื้นฟูเมืองนครศรีธรรมราชแล้วสถาปนาเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นอีกครั้ง นอกจากการบูรณาการจัดระเบียบให้เมืองในภาคใต้เสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่เคยมีแบบแผนมาในสมัยของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชปทุมวงศ์แล้ว ก็ได้ระดมผู้คนพื้นเมือง ให้ออกมาช่วยกันสร้างบ้านสร้างเมือง
ข้อสันนิษฐานและข้อขัดแย้ง
[แก้]การตีความถึงลำดับเชื้อสายแห่งราชวงศ์ปทุมวงศ์ของตามพรลิงก์กับราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งศรีวิชัย บางประการยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ บางข้อมูลได้กล่าวว่าเชื้อสายของราชวงศ์ปทุมวงศ์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์โมริยะแห่งชมพูทวีปหรืออินเดีย ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานอย่างนึงที่สามารถโยงไปกับประวัติของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชว่ามาจากต่างถิ่นได้[7]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ watsritawee (2021-11-23). "ลำดับโครงสร้างพระมหากษัตริย์ผู้ปกครอง สุวรรณภูมิ-ศรีวิชัย (๒๙๖-๑๘๒๐) (๒๓ พ.ย. ๒๕๖๔) Order of the Monarchy Structure: Suvarnabhumi-Srivijaya (248BC-1277) (Nov 23, 2021)". วัดศรีทวี Wat Sritawee (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Kallidaikurichi Aiyah Nilakanta Sastri (1929). The Pāṇḍyan kingdom from the earliest times to the sixteenth century. pp.176
- ↑ Cœdès, George (1968). The Indianized states of Southeast Asia. University of Hawaii Press. p. 184. ISBN 9780824803681.
belonging to the family of the lotus (padmavamsa)
- ↑ ตำนานจตุคามรามเทพ และ กษัตริย์สามพี่น้อง
- ↑ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับวัดศรีทวี https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/40518014
- ↑ ยมบน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://kaekae.oas.psu.ac.th/rlej/include/getdoc.php?id=3299&article=1196&mode=pdf
- ↑ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช