ข้ามไปเนื้อหา

จอห์น อัลดริดจ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จอห์น อัลดริดจ์
อัลดริดจ์ในปี 2023
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม จอห์น วิลเลียม อัลดริดจ์
วันเกิด (1958-09-18) 18 กันยายน ค.ศ. 1958 (66 ปี)
สถานที่เกิด ลิเวอร์พูล, อังกฤษ
ส่วนสูง 5 ฟุต 11 นิ้ว (1.80 เมตร)[1]
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
1978–1979 South Liverpool
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1979–1984 Newport County 170 (70)
1984–1987 Oxford United 114 (72)
1987–1989 Liverpool 83 (50)
1989–1991 Real Sociedad 63 (33)
1991–1998 Tranmere Rovers 243 (138)
รวม 673 (363)
ทีมชาติ
1986–1996 Republic of Ireland 69 (19)
จัดการทีม
1996–2001 Tranmere Rovers
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

จอห์น วิลเลียม อัลดริดจ์ (อังกฤษ: John William Aldridge, เกิด 18 กันยายน 1958) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพและผู้จัดการทีม เจ้าของฉายา อัลโด[2] เขาคือกองหน้าที่ทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอและทำลายสถิติมากมาย เป็นที่รู้จักอย่างดีในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับลิเวอร์พูลในปลายทศวรรษ 1980 เขายิงประตูในฟุตบอลลีกไปทั้งหมด 330 ประตู ซึ่งเป็นอันดับที่ 6 ของดาวยิงสูงสุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ[3]

เขาเริ่มต้นค้าแข้งจากลีกต่ำสุด ลงเล่นผ่านมาทุกระดับตั้งแต่ ดิวิชัน 4 (เดิม) จนถึง ดิวิชัน 1 (เดิม) ในช่วงแรก เขาถูกเซ็นสัญญามาร่วมทีมแทนที่เอียน รัชที่ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส อัลดริดจ์ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วง 2 ฤดูกาลที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกและเอฟเอคัพมาครองได้อย่างละ 1 สมัย และพลาดแชมป์ลีกอย่างหวุดหวิดอีก 1 สมัย อัลดริดจ์ลงเล่นให้เรอัลโซซิเอดัด 2 ฤดูกาล กลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ไม่ใช่ชาวบาสก์ที่เซ็นสัญญากับสโมสรในรอบหลายทศวรรษ หลังจากที่พวกเขายกเลิกนโยบายการสรรหาผู้เล่น ที่อนุญาตให้เซ็นสัญญาเฉพาะผู้เล่นที่มีเชื้อสายบาสก์เท่านั้น ในปี 1991 เขากลับมาอังกฤษเพื่อเล่นให้กับแทรนเมียร์โรเวอส์และกลายเป็นผู้เล่น–ผู้จัดการทีมของพวกเขาในปี 1996 เขาแขวนสตั๊ดในปี 1998 และลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 2001 และไม่กลับมาเป็นผู้จัดการทีมอีกนับตั้งแต่บัดนั้น

อัลดริดจ์เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูลโดยกำเนิด แต่เขาเลือกเล่นให้กับทีมชาติไอร์แลนด์ ตามนโยบาย กฎคุณยาย ของแจ็ค ชาร์ลตัน ผู้จัดการทีมชาติไอร์แลนด์ในขณะนั้น เนื่องจากคุณยายทวดของเขาอพยพมาจากเมืองแอธโลน ประเทศไอร์แลนด์ มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองลิเวอร์พูลในศตวรรษที่ 19[4][5] เขาประสบความสำเร็จกับทีมชาติไอร์แลนด์ ในช่วงที่ทีมประสบความสำเร็จมากที่สุดในระดับนานาชาติ และเขาได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกถึง 2 สมัยคือปี 1990 และ 1994[6][7]

ระดับสโมสร

[แก้]

เซาท์ลิเวอร์พูลและนิวพอร์ตเคาน์ตี

[แก้]
อัลดริดจ์ขณะเล่นให้กับนิวพอร์ตเคาน์ตีในปี 1981

อัลดริดจ์ใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดของอังกฤษ เขาเริ่มต้นอาชีพในกลางทศวรรษ 1970 กับเซาท์ลิเวอร์พูล สโมสรนอกลีก ก่อนที่จะแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลอาชีพ เขาเซ็นสัญญากับนิวพอร์ตเคาน์ตีในลีกดิวิชัน 4 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1979 ด้วยค่าตัวเพียง 3,500 ปอนด์ ในวัย 20 ปี

ขณะลงเล่นในโซเมอร์ตันพาร์ก สนามเหย้าของนิวพอร์ตเคาน์ตี อัลดริดจ์ลงเล่นทั้งสิ้น 198 นัดยิงได้ 87 ประตู คิดเป็นเฉลี่ย 1 ประตูต่อ 2.25 นัด นอกจากนี้เขายังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเอฟเอคัพ โดยยิงไป 7 ประตูจาก 12 นัด เขาร่วมทีมกับทอมมี ไทแนน และเดฟ กวิเทอร์ เป็นเวลา 4 ปี ช่วยให้นิวพอร์ตเลื่อนชั้นจากดิวิชัน 4 และคว้าแชมป์เวลช์คัพในฤดูกาลแรก และเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาลที่ 2

ฤดูกาลแรกของเขากับนิวพอร์ตคือในฤดูกาล 1979–80 เขายิงไป 14 ประตูจาก 38 นัดพาทีมคว้าแชมป์เวลช์คัพและเลื่อนชั้นสู่ดิวิชัน 3 ในฤดูกาลถัดมา เขาพาทีมประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ในลีก เขาลงเล่นในลีกทั้งหมด 27 นัด และยิงได้ 7 ประตู ในฤดูกาล 1981–82 เขาทำได้ 11 ประตูจาก 36 นัด แต่ในฤดูกาล 1982–83 เขาทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยการกดไป 17 ประตู จาก 41 นัด พาทีมเกือบเลื่อนชั้นสู่ดิวิชัน 2[8]

ในฤดูกาล 1983–84 ทอมมี ไทแนน ออกจากทีม อัลดริดจ์ยิงไป 26 ประตู ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่นิวพอร์ตเคาน์ตียังคงอยู่ในดิวิชัน 3[9]

ออกซ์ฟอร์ดยูไนเต็ด

[แก้]

อัลดริดจ์ถูกขายให้กับออกซฟอร์ดยูไนเต็ดในวันที่ 21 มีนาคม 1984[10] ในขณะที่สโมสรกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเลื่อนชั้นสู่ดิวิชัน 3 ภายใต้การคุมทีมของจิม สมิท เขาประเดิมสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน 1984 โดยลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่ชนะวอลซอลล์ 1–0 ที่เฟลโลว์สพาร์ค ประตูแรกของเขาเกิดขึ้นในชัยชนะ 5–0 ในบ้านเหนือโบลตันวอนเดอเรอส์เมื่อวันที่ 20 เมษายน 1984

เขาลงเล่นไม่มากนักในช่วงลุ้นแชมป์ดิวิชัน 3 แต่ในฤดูกาลถัดมาเขาก็ได้ร่วมทีมกับบิลลี แฮมิลตัน และกลายเป็นผู้เล่นดิวิชัน 2 คนแรกในรอบ 19 ปีที่สามารถทำประตูได้ 30 ประตู เขาทำประตูได้ 34 ประตู (30 ประตูในลีก) ในฤดูกาล 1984–85 ทำลายสถิติการทำประตูสูงสุดของสโมสรในหนึ่งฤดูกาล[11] ขณะที่ออกซ์ฟอร์ดเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 (เดิม) เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ อัลดริดจ์ยังได้รับเหรียญแชมป์ดิวิชัน 2 อีกด้วย

ในที่สุด ในวัย 27 ปี อัลดริดจ์ก็มีโอกาสได้เล่นในดิวิชัน 1 เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดเป็นอันดับสามในดิวิชัน 1 (เป็นรองเพียงแกรี ลินิเกอร์ และแฟรงค์ แม็กอาเวนนี่ ) และช่วยให้ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกคัพเมื่อปี 1986 ในชัยชนะ 3–0 เหนือควีนส์พาร์กเรนเจอส์ ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นี่คือถ้วยรางวัลสำคัญเพียงถ้วยเดียวของออกซ์ฟอร์ดจนถึงปัจจุบัน 23 ประตูจาก 39 เกมของเขาช่วยให้ออกซ์ฟอร์ดรอดพ้นการตกชั้นได้

อัลดริดจ์ลงเล่นให้ออกซ์ฟอร์ด 141 นัด ยิงได้ 90 ประตู[10] – 1 ประตูทุก 1.5 เกม – รวมถึง 14 ประตูในลีกคัพจาก 17 นัด เขาทำได้ 4 ประตูในการเจอกับจิลลิงงัมในลีกคัพเมื่อวันที่ 24 กันยายน 1989 และทำแฮตทริกได้ 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในชัยชนะ 5–2 เหนือลีดส์ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1984 เขายังทำประตูให้กับออกซ์ฟอร์ด 1 ใน 2 ประตูที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมแรกของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 1986 โดยยังคงรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของเขาไว้ได้จนถึงฤดูกาล 1986–87[12]

ลิเวอร์พูล

[แก้]
อัลดริดจ์ในปี 2008

ในช่วงต้นปี 1987 ลิเวอร์พูลต้องเสียกองหน้าคนสำคัญอย่างเอียน รัช ให้กับยูเวนตุสในช่วงปลายฤดูกาล 1986–87 และต้องการตัวแทนที่มีประสบการณ์และพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว เขาเซ็นสัญญากับทีมของเคนนี แดลกลีชเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1987 ด้วยค่าตัว 750,000 ปอนด์ และในช่วงแรกเขาเล่นเป็นคู่หูของรัช (โดยเล่นในตำแหน่งของแดลกลีชซึ่งเป็นผู้เล่นและเป็นผู้จัดการทีม และพอล วอล์ช) และเป็นตัวสำรองในบางครั้ง แดลกลีชมีความสนใจในการเซ็นสัญญากับกองหน้าคนอื่นๆ รวมถึงเดวิด สปีดีของเชลซีและชาร์ลี นิโคลัสของอาร์เซนอลเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะซื้อตัวอัลดริดจ์[13] ในช่วงเวลาที่เขาย้ายไปลิเวอร์พูลในฤดูกาล 1986–87 อัลดริดจ์ยิงไปแล้ว 15 ประตูให้กับออกซ์ฟอร์ดจากทั้งหมด 25 เกม[8]

ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยการไม่มีถ้วยแชมป์ใด ๆ รวมทั้งความพ่ายแพ้ที่เวมบลีย์ต่ออาร์เซนอลใน รอบชิงชนะเลิศลีกคัพซึ่งทำให้อัลดริดจ์ไม่มีสิทธิ์ลงเล่น

อัลดริดจ์ลงประเดิมสนามให้กับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1987 โดยเขาลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 46 แทนเครก จอห์นสตัน ในเกมลีกที่เสมอกับแอสตันวิลลา 2–2 ที่วิลลาพาร์ก[14] ประตูแรกของเขากับสโมสรใหม่มาในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาคือในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ในนาทีที่ 60 ซึ่งเป็นประตูเดียวของเกมในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะเซาแทมป์ตันในลีกที่แอนฟีลด์[15]

อัลดริดจ์ทำประตูได้ 26 ประตูในฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูล รวมทั้งทำประตูได้ 1 ลูกจาก 9 เกมแรก ทำให้เขามีสถิติการทำประตูต่อเนื่อง 10 นัด เช่นเดียวกับที่เขาทำได้ในการลงเล่นในลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว[16]

เขาได้ร่วมงานกับผู้เล่นใหม่อย่างปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์และจอห์น บานส์ ซึ่งลิเวอร์พูลแพ้เพียงสองนัดในลีกฤดูกาลและไม่แพ้ใครมา 29 นัด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกในปี 1988 โดยมีคะแนนนำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถึง 9 คะแนน ถึงแม้ว่าช่องว่างระหว่างลิเวอร์พูลกับคู่แข่งจะกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงส่วนใหญ่ของฤดูกาลก็ตาม

อัลดริดจ์ยิงสองประตูในนัดรองชนะเลิศเอฟเอคัพที่พบกับนอตทิงแฮมฟอเรสต์[17] ในขณะที่วิมเบิลดันขึ้นนำ 1–0 ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพที่สนามเวมบลีย์ในช่วงกลางครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลได้ลูกจุดโทษจากอัลดริดจ์ที่โดนฟาวล์ แต่เขายิงจุดโทษไม่เข้าส่งผลให้ทีมแพ้ไป ฤดูกาลนั้น อัลดริดจ์ยิงจุดโทษ 11 ครั้งแต่เดฟ บีแซนต์ ผู้รักษาประตูกัปตันทีมวิมเบิลดันสังเกตเห็นว่าเขามักจะวางบอลไว้ทางซ้ายของผู้รักษาประตูเสมอ อัลดริดจ์ทำตามที่คาดไว้โดยยิงไปทางซ้ายของบีแซนต์ แต่บีแซนต์ก็รีบกระโดดไปป้องกัน[18] เขากลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่ป้องกันจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพที่เวมบลีย์ ความล้มเหลวของอัลดริดจ์ถือเป็นการยิงจุดโทษพลาดครั้งแรกของเขากับลิเวอร์พูล เขาถูกเปลี่ยนตัวออกในเวลาไม่นานหลังจากนั้นซึ่งลิเวอร์พูลแพ้ไป 1–0

ฤดูกาลถัดมาถือเป็นฤดูกาลที่ยากลำบากและมีเหตุการณ์มากมายสำหรับอัลดริดจ์ รัชที่ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมยูเวนตุสได้ลิเวอร์พูลจึงต้องจ่ายเงิน 2.8 ล้านปอนด์เพื่อนำเขากลับมายังแอนฟีลด์ก่อนที่ฤดูกาลจะเริ่มต้น แดลกลีชเล่นร่วมกับอัลดริดจ์และรัช ในการแข่งขันแชริตี้ชีลด์ที่พบกับวิมเบิลดันที่สนามเวมบลีย์ อัลดริดจ์ได้ลงเป็นตัวจริงและยิงประตูให้กับลิเวอร์พูลได้ทั้ง 2 ประตูในเกมที่ชนะ 2–1 อัลดริดจ์ยังคงรักษาสถิติการทำประตูไว้ได้ โดยมักจะลงเล่นร่วมกับรัชและเบียร์ดสลีย์ในแนวรุก ขณะที่รัชพลาดการลงสนามหลายเกมเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ในเกมลีกนัดแรกของฤดูกาลในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา อัลดริดจ์ทำแฮตทริกในเกมที่ชนะชาร์ลตันแอทเลติก 3–0[19] เขาทำแฮตทริกในลีกอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ในเกมเหย้าที่ชนะลูตันทาวน์ 5–0 ซึ่งทำให้เขายิงประตูในลีกรวม 15 ประตูในฤดูกาลนี้ เขาทำประตูได้ครบ 20 ประตูเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ในเกมที่เอาชนะวิมเบิลดัน 2–1 และจบฤดูกาลในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรด้วยผลงาน 22 ประตูในลีก 8 ประตูในเอฟเอคัพ 2 ประตูในลีกคัพและ 2 ประตูในแชริตี้ชิลด์ รวม 34 ประตูในทุกรายการ[19]

ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 1989 ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งพบกับเอฟเวอร์ตันคู่แข่งร่วมเมือง อัลดริดจ์ทำประตูได้หลังจากผ่านไป 4 นาทีจากการสัมผัสบอลครั้งแรก รัชซึ่งลงมาแทนที่อัลดริดจ์ในฐานะตัวสำรอง ยิงสองประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษช่วยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะไป 3–2 อัลดริดจ์ทำไป 21 ประตูในลีก และ 31 ประตูในทุกรายการ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูสูงสุดในดิวิชันหนึ่งในฤดูกาลนั้น แชมป์ลีกและเอฟเอคัพที่ลิเวอร์พูลคว้าได้ในปี 1986 เกิดขึ้นอีกครั้ง ในเกมตัดสินกับอาร์เซนอลที่แอนฟีลด์ อัลดริดจ์ลงเล่นในเกมที่รับประกันแชมป์ให้ลิเวอร์พูลได้ตราบใดที่อาร์เซนอลไม่สามารถชนะด้วยสกอร์ห่าง 2 ประตู ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ลิเวอร์พูลตามหลังอยู่ 1–0 พวกเขาเสียประตูอีกลูกให้กับไมเคิล โธมัส ซึ่งเป็นประตูสุดท้ายของฤดูกาล ทำให้เสียตำแหน่งแชมป์ลีกไป

อัลดริดจ์ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล 104 นัด ยิงได้ 63 ประตู โดย 50 ประตูอยู่ในลีก[20]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Dunk, Peter, บ.ก. (1987). Rothmans Football Yearbook 1987–88. London: Queen Anne Press. p. 222. ISBN 978-0-356-14354-5.
  2. Quinn, Philip (6 November 2000). "Irate Aldo refutes phoney Irish claim". Irish Independent. สืบค้นเมื่อ 15 July 2024.
  3. England – All-Time Topscorers – All Football League Divisions (and Premiership) rsssf.org, retrieved 2 April 2011
  4. "Irish Football and the 'Granny Rule'". www.soccer-ireland.com. สืบค้นเมื่อ 28 August 2021.
  5. Hilton, Nick (18 March 2011). "Shamrock Scousers: Liverpool FC hero John Aldridge recalls his happiness playing international football for Ireland". Liverpool Echo (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 28 August 2021.
  6. Byrne, Peter. "Magical memories of Italia '90 linger still". The Irish Times (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 28 August 2021.
  7. "Daniel McDonnell: Ireland's Generation Game - How the post Italia '90 class are finally making their mark". independent (ภาษาอังกฤษ). 17 July 2020. สืบค้นเมื่อ 28 August 2021.
  8. 8.0 8.1 "John Aldridge". สืบค้นเมื่อ 2 September 2010.
  9. "Newport County A-Z of transfers".
  10. 10.0 10.1 "John Aldridge History with Oxford United".
  11. "Oxford United Club Records". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-16. สืบค้นเมื่อ 2024-07-21.
  12. "Oxford United 2–0 Manchester United". Rage Online. สืบค้นเมื่อ 23 July 2020.
  13. "Newell Hits a Hat-trick". New Straits Times. 27 October 1986. สืบค้นเมื่อ 23 July 2020 – โดยทาง Google News Archive Search.
  14. "Aston Villa 2 – 2 Liverpool". lfchistory.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2010. สืบค้นเมื่อ 16 December 2009.
  15. "Liverpool 1 – 0 Southampton". lfchistory.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2007. สืบค้นเมื่อ 16 December 2009.
  16. Statistics. "A timeline for Liverpool Football Club". LFChistory.net. สืบค้นเมื่อ 30 October 2011.
  17. "Liverpool 2 – 1 Nottingham Forest". lfchistory.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2010. สืบค้นเมื่อ 16 December 2009.
  18. "Liverpool 0 – 1 Wimbledon". lfchistory.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2010. สืบค้นเมื่อ 16 December 2009.
  19. 19.0 19.1 "Liverpool Results 1988–89". Liverweb. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2012. สืบค้นเมื่อ 25 April 2011.
  20. "Total goals scored per season by John Aldridge". lfchistory.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 February 2006. สืบค้นเมื่อ 16 December 2009.