การต้มกบ
การต้มกบ (อังกฤษ: boiling frog) เป็นเรื่องเล่าที่อธิบายว่ากบสามารถถูกต้มให้ตายอย่างช้า ๆ ได้ โดยมีข้อกล่าวอ้างว่าหากกบถูกใส่ลงในน้ำเดือด มันจะกระโดดออกมาทันที แต่หากมันถูกใส่ลงในน้ำอุ่นซึ่งถูกต้มให้เดือดอย่างช้า ๆ กบจะไม่สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึง ดังนั้นจึงถูกต้มให้สุกในที่สุด เรื่องนี้มักใช้เป็นอุปมาสำหรับคนที่ไม่สามารถหรือไม่ยินดี ที่จะตอบสนองหรือรับรู้ภยันตรายแบบค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แบบรวดเร็ว
การทดลองหลายงานในศตวรรษที่ 19 ยืนยันว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นจริงถ้าการให้ความร้อนช้าเพียงพอ[1][2] แต่สำหรับชีววิทยาสมัยใหม่ ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวไม่เป็นจริง การเปลี่ยนสถานที่เป็นกระบวนการควบคุมอุณหภูมิตามธรรมชาติของกบและสัตว์เลือดเย็น ซึ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดในธรรมชาติ ตามข้อเท็จจริงนี้ กบที่ถูกต้มอย่างช้า ๆ ก็จะกระโดดออกมาจากหม้อในที่สุด ในทางตรงข้ามกบที่ถูกใส่ลงน้ำเดือดจะตายทันที ไม่สามารถกระโดดออกมาได้[3][4]
ในการอุปมา
[แก้]เรื่องเล่าในแบบฉบับหนึ่งของ Daniel Quinn The Story of B
เรื่องการต้มกบ มักถูกพูดถึงกันในเรื่องของการอุปมา เพื่อที่จะเตือนผู้คนเพื่อให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเพื่อที่พวกเขาจะไม่ได้รับผลที่ไม่น่าน่าพอใจในที่สุด อาจถูกใช้ในการสนับสนุนทางลาดชันสู่เหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง การโต้แย้งเป็นข้อควรระวัง creeping normality นอกจากนี้ยังใช้ในเชิงธุรกิจเพื่อตอกย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีความค่อยเป็นค่อยไปจึงจะได้รับการยอมรับ[5] คำว่า "กลุ่มอาการการต้มกบ" เป็นคำอุปมาที่ใช้เพื่ออธิบายความล้มเหลวในการดำเนินการกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ซึ่งจะส่งผลรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นหายนะ[6] จากเหตุผลที่กล่าวมา จึงสรุปผลกระทบที่แทบไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหรืออย่างช้า ๆ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการอธิบายโดยแดเนียล พอลี เป็น shifting baseline[7]
เรื่องนี้ได้รับการเล่าขานหลายครั้งและใช้เพื่ออธิบายมุมมองที่แตกต่างกันอย่างกว้างขวาง เมื่อ ค.ศ. 1960 เกี่ยวกับการเตือนผู้ที่เห็นอกเห็นใจต่อสหภาพโซเวียต ในช่วงสงครามเย็น[8] ในปี 1980 เกี่ยวกับการล่มสลายของอารยธรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งผู้รอดชีวิต[9] ในช่วงปี 1990 เกี่ยวกับการเพิกเฉยต่อการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม[10][11] นอกจากนี้ยังถูกใช้โดยนักเสรีนิยมเพื่อเตือนเกี่ยวกับการลิดรอนเสรีภาพของพลเมืองไปทีละน้อย[5]
ในนวนิยายปี 1996 The Story of B นักเขียนสิ่งแวดล้อม แดเนียล ควินน์ ใช้บทอุปมาของการต้มกบ ใช้เพื่ออธิบายประวัติศาสตร์ของมนุษย์ การเติบโตของประชากร และอาหารส่วนเกิน[12] Pierce Brosnan ตัวละครของ Harry Dalton กล่าวถึงมันในภาพยนตร์เรื่องหายนะปี 1997 Dante's Peak โดยอ้างอิงจากสัญญาณเตือนที่สะสมของการปะทุขึ้นอีกครั้งของภูเขาไฟ[13] Al Gore ใช้เวอร์ชันของเรื่องราวใน New York Times op-ed,[14] ในการนำเสนอของเขาและภาพยนตร์ปี 2549 [ความจริงที่ยากลำบาก]] เพื่ออธิบายความไม่รู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ในเวอร์ชันภาพยนตร์ กบได้รับการช่วยเหลือก่อนที่มันจะได้รับอันตราย[15] การใช้เรื่องราวนี้อ้างอิงโดยนักเขียน/ผู้กำกับ Jon Cooksey ในชื่อสารคดีตลกปี 2010 ของเขา วิธีการต้มกบ[16]
ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและนักวิจารณ์กฎหมาย Eugene Volokh ให้ความเห็นในปี 2546 โดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมของกบจริง เรื่องการต้มกบมีประโยชน์ในฐานะการอุปมา เมื่อเปรียบเทียบกับการอุปมาของนกกระจอกเทศที่มีหัวอยู่ในทราย[5] ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์และ New York Times [op-ed]] นักเขียน Paul Krugman ใช้เรื่องนี้เป็นการอุปมาในคอลัมน์เดือนกรกฎาคม 2552 ในขณะที่ชี้ให้เห็นว่ากบจริงมีพฤติกรรมแตกต่างออกไป[17] นักข่าว James Fallows ออกมาเรียกร้องตั้งแต่ปี 2549 เพื่อให้ผู้คนหยุดเล่าเรื่องนี้ซ้ำ อธิบายว่าเป็น "คนโง่" และ "ตำนาน"[18][19] อย่างไรก็ตาม หลังจากคอลัมน์ของ Krugman ปรากฏขึ้น เขาประกาศ "สันติภาพบนหน้าการต้มกบ" และกล่าวว่าการใช้เรื่องราวนี้เป็นที่ยอมรับได้หากผู้เขียนชี้ให้เห็นว่ามันไม่เป็นความจริง[20]
ในเชิงปรัชญา
[แก้]ในเชิงปรัชญาเรื่องการต้มกบถูกใช้เพื่ออธิบาย Sorites paradox ปฏิทรรศน์นี้อธิบายสถานการณ์สมมติที่มีกองทรายตั้งอยู่ เม็ดทรายถูกนำออกทีละเม็ดและตั้งคำถามว่าในช่วงขณะใดไหมที่ทรายไม่มีสภาพเป็นกองทราย[21]
การทดลองและการวิเคราะห์
[แก้]ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีการทดลองมากมายเกิดขึ้นเพื่อดูการตอบสนองของกบที่ถูกต้มในน้ำอุ่น และใน ค.ศ. 1869 ระหว่างที่ทำการทดลองเพื่อที่จะหาตำแหน่งของจิตวิญญาณในร่างกายนักสรีรวิทยาชาวเยอรมัน ฟรีดริช โกลซ์ ก็ได้แสดงให้เห็นว่ากบตัวที่ถูกนำสมองออกมาจะยังอยู่ในน้ำอุ่นต่อ แต่กบตัวที่ไม่ได้ถูกนำสมองออกจะพยายามจะหนีออกไปเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขี้นถึง 25 องศาเซลเซียส[1][22]
การทดลองอื่นในคริสตศตวรรษที่ 19 อ้างว่ากบไม่ได้พยายามที่จะหนีออกจากน้ำอุ่นเลย แต่การทดลองใน ค.ศ.1872 ของ Heinzmann ก็ได้แสดงให้เห็นว่ากบธรรมดาจะไม่พยายามที่จะหนีหากน้ำไม่ร้อนเพียงพอ,[23][24] ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย Fratscher ใน ค.ศ. 1875[25]
ใน ค.ศ. 1888 William Thompson Sedgwick กล่าวว่าความขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัดระหว่างผลการทดลองต่างๆ ผลลัพธ์แตกต่างกันตามการเพิ่มขึ้นของความร้อนในการทดลอง "หากน้ำร้อนมากขึ้นอย่างช้าๆจะไม่มีการตอบสนองเกิดชึ้นในกบทั่วไป แต่ถ้าน้ำร้อนเร็วขึ้นในอัตราที่ไม่มาก การตอบสนองจะไม่เหมือนกันในกบทั่วไป"[2] ฟรีดริช โกลซ์ ได้เพิ่มอุณหภูมิน้ำจาก 17.5 องศาเซลเซียสเป็น 56 องศาเซลเซียสในเวลาประมาณ 10 นาทีหรือ 3.8 องศาเซลเซียสต่อนาที ในขณะที่ให้ความร้อนตลอดระยะเวลา90นาที จาก 21 องศาเซลเซียสจนถึง 37.5 องศาเซลเซียสด้วยอัตราที่ต่ำกว่า 0.2 องศาเซลเซียสต่อนาที[1] เอ็ดเวิร์ด วีลเลอร์ สกริปตูเร ได้อธิบายถึงข้อสรุปนี้ในThe New Psychology (1897):ว่า "กบที่มีชีวิตอยู่สามารถต้มได้โดยกบจะไม่มีการเคลื่อนไหวหากน้ำไม่เพิ่มอุณหภูมิไวเกินไป ในการทดลองที่เพิ่มอุณหภูมิในอัตรา 0.2 องศาเซลเซียส พบว่ากบตายในเวลาสองชั่วโมงครึ่งโดยไม่มีการขยับหรือเคลื่อนที่ใด ๆ เลย"[26]
แหล่งข่าววิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้มีการรายงานว่าผลการทดลองที่เกิดขึ้นนี้ไม่เป็นจริง ใน ค.ศ. 1995 ดักลาส เมลตันนักชีววิทยาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า "ถ้าคุณนำกบใส่ในน้ำเดือดมันจะไม่กระโดด และมันจะตาย ถ้าคุณใส่มันลงในน้ำเย็นมันจะกระโดดออกมาก่อนที่น้ำจะร้อนพวกกบไม่ได้อยู่นิ่งเพื่อที่จะรอพวกคุณ" จอร์จ อาร์. ซุก หัวหน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์เลื้อยคลานและสัตว๋ครึ่งบกครึ่งน้ำที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ ได้โต้แย้งข้อสรุปดังกล่าวเช่นกัน โดยเขาได้กล่าวไว้ว่า "ถ้ากบมีหนทางที่จะสามารถหนีออกไปได้ มันจะหนีออกไปอย่างแน่นอน"[3] ใน ค.ศ. 2002 วิคเตอร์ เอช ฮัทชิสัน นักสัตววิทยาที่เกษียณจากมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา ซึ่งมีความสนใจในงานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสัตว์ครึ่งบนครึ่งน้ำ ได้กล่าวมาว่า "เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด" อุณหภูมิสูงสุดที่วิกฤต สำหรับกบหลากหลายสายพันธ์ถูกกำหนดไว้โดยการทดลองร่วมสมัย เมื่อน้ำร้อนประมาณ 1 องศาเซลเซียสต่อนาที กบจะตื่นตัวและตอบสนองไวขึ้นเมื่อมันพยายามที่จะหนี และในที่สุดก็จะกระโดดออกมาถ้าสามารถที่จะทำได้[4]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Offerman, Theo (February 12, 2010). "How to subsidize contributions to public goods" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-26. สืบค้นเมื่อ 2022-12-25.
- ↑ 2.0 2.1 Sedgwick 1888, p. 399
- ↑ 3.0 3.1 "Next Time, What Say We Boil a Consultant". Fast Company Issue 01. October 1995. สืบค้นเมื่อ 2017-08-01.
- ↑ 4.0 4.1 Gibbons, Whit (December 23, 2007). "The Legend of the Boiling Frog is Just a Legend". Ecoviews. Savannah River Ecology Laboratory, University of Georgia. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 1, 2017. สืบค้นเมื่อ January 19, 2021.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Volokh, Eugene (2003). "The Mechanisms of the Slippery Slope". Harvard Law Review. 116 (4): 1026–1137. doi:10.2307/1342743. JSTOR 1342743.
- ↑ "boiling frog syndrome". The Free Dictionary. Farlex. 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-10. สืบค้นเมื่อ 2021-02-28.
- ↑ "Classics: Shifting baselines". ConservationBytes.com. 14 February 2011. สืบค้นเมื่อ 23 March 2022.
- ↑ Trohan, Walter (6 June 1960). "Report from Washington". Chicago Tribune. p. 2.
กบที่ตกลงไปในน้ำเดือดมีความรู้สึกที่จะกระโดดออกมา แต่กบที่ตกลงไปในน้ำเย็นสามารถถูกปรุงให้ตายได้ก่อนที่มันจะรู้ตัวว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นพวกเราคนประเทศอเมริกาและอารยธรรมของเราจึงอยู่ในวิกฤตที่มีความทวีความรุนแรงขึ้นนี้ พวกเราต้องระวังผู้ที่ต้องการละลายสงครามเย็นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มิเช่นนั้นเราอาจจะสุกก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้
- ↑ Quoted in Recchia, Cammille (25 August 1980). "ผู้เอาชีวิตรอดในพื้นที่วนเกวียนเพื่ออาร์มาเก็ดดอนที่กำลังจะมาถึง ผู้เอาชีวิตรอดเตรียมขี่อาร์มาเก็ดดอนที่กลัวความโกลาหลทางเศรษฐกิจ สนับสนุนการเก็บอาหาร ซื้อทอง เงิน". The Washington Post. p. C1.
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเรา สิ่งต่าง ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ เราจึงไม่ได้สังเกตว่ามันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และทำให้เราจะไม่มีเวลาพอที่จะกระโดดออกไป
- ↑ Tickell, Crispin (1990). "ผลกระทบของมนุษย์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อความที่ตัดมาถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1990". The Geographical Journal. 156 (3): 325–329 [p. 325]. doi:10.2307/635534. JSTOR 635534.
นี่ไม่ใช่การทดลองที่ฉันอยากจะยกย่อง แต่มีบทเรียนสำหรับสัตว์อื่น—ตัวเราเอง หากมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เราจะสังเกตเห็นมันและตอบโต้ต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นทันที แต่ถ้ามันค่อย ๆ ที่จะเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัว และเมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมที่จะตอบโต้ มันก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
- ↑ Evans, Patricia (1996). ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมทางวาจาจะรับรู้และจะตอบโต้ได้อย่างไร. Holbrook, MA: Adams Media. p. 111. ISBN 1-55850-582-2.
เราไม่มีแนวโน้มที่จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างทีละเล็กทีละน้อย นี่คือวิธีที่คนส่วนใหญ่ปรับตัวให้เข้ากับการล่วงละเมิดทางวาจา พวกมันค่อย ๆ ปรับตัวจนเหมือนกบตัวที่สอง พวกมันอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำลายจิตวิญญาณของพวกมัน
- ↑ Quinn, Daniel (1996). "The Boiling Frog". The Story of B. ISBN 0-553-37901-1.
- ↑ Pierce Brosnan (Star), Roger Donaldson (Director), Leslie Bohem (Writer) (1997). Dante's Peak (Motion picture). USA.
- ↑ Gore, Albert (March 19, 1989). "An Ecological Kristallnacht. Listen". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 14 Sep 2015.
- ↑ อัลกอร์ (นักเขียน), เดวิส กุกเกนไฮม์ (ผู้กำกับ) (2006). An Inconvenient Truth (Motion picture). USA.
- ↑ Jon Cooksey (Writer/director) (2010). How to Boil a Frog (Motion picture). Canada.
- ↑ Krugman, Paul (2009-07-13). "Boiling the Frog". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2010-04-26.
- ↑ Fallows, James (13 March 2007). "The boiled-frog myth: stop the lying now!". The Atlantic. สืบค้นเมื่อ 2009-06-27.
- ↑ Fallows, James (16 September 2006). "The boiled-frog myth: hey, really, knock it off!". The Atlantic. สืบค้นเมื่อ 2009-06-24.
- ↑ Fallows, James (July 13, 2009). "Peace on the boiled frog front". The Atlantic.
- ↑ Goldstein, Laurence (2000). "How to boil a live frog". Analysis. Oxford University Press. 60 (266): 170–178. doi:10.1111/1467-8284.00220.
The art of frog-boiling is an ancient one, and the correct procedure will emerge in the course of considering an ancient puzzle, the so-called 'Paradox of the Heap' or Sorites.
- ↑ James Fallows (21 July 2009). "Guest-post wisdom on frogs". The Atlantic. สืบค้นเมื่อ 2009-07-22.
- ↑ Sedgwick 1888, p. 390
- ↑ Heinzmann, A. (1872). "Ueber die Wirkung sehr allmäliger Aenderungen thermischer Reize auf die Empfindungsnerven". Pflüger, Archiv für die Gesammte Physiologie des Menschen und der Thiere. 6: 222–236. doi:10.1007/BF01612252. S2CID 43608630.
- ↑ Sedgwick 1888, p. 394
- ↑ Scripture, Edward Wheeler Scripture (1897). The New Psychology. W. Scott Publishing Company. p. 300.
บรรณานุกรม
[แก้]- Sedgwick, William (1888). "On the variation of reflex excitability in the frog induced by changes of temperature". Studies from the Biological Laboratory of the Johns Hopkins University. Baltimore, Maryland: N. Murray, Johns Hopkins University. 2: 385–410.