การก่อการกำเริบของประชาชนในยุโรปช่วงปลายสมัยกลาง
การปฏิวัติของชุมชนในปลายสมัยกลางของยุโรป (อังกฤษ: Popular revolt in late medieval Europe) โดยทั่วไปเป็นการก่อความไม่สงบหรือการปฏิวัติของเกษตรกรในชนบทหรือชนชั้นกลางในเมืองในการต่อต้านขุนนาง, นักบวช หรือ พระมหากษัตริย์ระหว่างคริสต์ศัตวรรษที่ 14 จนถึงต้นคริสต์ศัตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ“วิกฤติกาลของปลายสมัยกลางของยุโรป”(Crisis of the Late Middle Ages) บางครั้งก็เรียกว่า“กบฏชาวนา”(Peasant revolt) ที่เป็นการปฏิวัติของชุมชนที่ครอบคลุมอย่างกว้างไม่เฉพาะแต่เกษตรกรหรือชาวนา
เบื้องหลัง
[แก้]ก่อนคริสต์ศัตวรรษที่ 14 การปฏิวัติโดยชุมชนมิใช่เป็นสิ่งใหม่แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น แต่มักจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในท้องถิ่น แต่เมื่อมาถึงคริสต์ศัตวรรษที่ 14 และ 15 ความกดดันจากชนชั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้นก็ทำให้การก่อความไม่สงบหรือการปฏิวัติโดยชุมชนแพร่ขยายไปทั่วยุโรป ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปก็จะเห็นได้จาก ระหว่างปี ค.ศ. 1336 ถึงปี ค.ศ. 1525 ในเยอรมนีมีการก่อความไม่สงบโดยเกษตรกรไม่น้อยไปกว่าหกสิบครั้ง[1]
การก่อความไม่สงบส่วนใหญ่เป็นการแสดงความต้องการที่จะมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ของผู้ที่มีฐานะดีกว่าทั้งทางด้านความมั่งคั่ง, ทางฐานะ และทางด้านความเป็นอยู่ แต่ผลของการก่อความไม่สงบส่วนใหญ่ฝ่ายเกษตรกรก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อขุนนางผู้ปกครองและมีอำนาจมากกว่า ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการสร้างทัศนคติในยุโรปที่เหยียดหยาม“เกษตรกร”ว่าเป็นชนชั้นที่แยกจากชนชั้นอื่นและเป็นชนชั้นที่ไม่ดีในสายตาของผู้มีฐานะทางสังคมและความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นการแบ่งชนชั้นในสังคมที่แตกต่างจากการแบ่งก่อนหน้านั้นที่แบ่งกลุ่มชนเป็นสามกลุ่ม: กลุ่มผู้ใช้แรงงาน, กลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับศาสนา และ กลุ่มผู้ต่อสู้ ซึ่งในความหมายเดิมเกษตรกรก็แทบจะใกล้กับพระเจ้า แต่ในทัศนคติใหม่เกษตรกรดูราวจะไม่ใช่มนุษย์
สาเหตุ
[แก้]สาเหตุสำคัญห้าสาเหตุที่ทำให้เกิดการก่อความไม่สงบก็ได้แก่ 1) ช่องว่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างคนจนและคนรวย, 2) รายได้ที่ลดลงของผู้มีฐานะดี, 3) ภาวะเงินเฟ้อและภาษีที่เพิ่มขึ้น, 4) วิกฤติกาลภายนอกที่รวมทั้งความอดอยาก, โรคระบาด และสงคราม และ 5) ความกดดันจากสถาบันศาสนา
คนจนและคนรวย
[แก้]สาเหตุแรกก็เกิดจากช่องว่างระหว่างฐานะทางเศรษฐกิจของคนจนและคนรวยที่กว้างขึ้นทุกที ที่มีรากฐานมาจากคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในการที่ชนชั้นเจ้านายหรือขุนนางสร้างสิ่งแวดล้อมที่บ่งถึงความเป็นชนชั้นที่แตกต่างและเหนือกว่าผู้อื่นในการแต่งตัว, การปฏิบัติตัว, กิริยา, ความเป็นอยู่ และการศึกษา เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ชนชั้นเจ้านายหรือขุนนางก็กลายเป็นชนชั้นที่แตกต่างจากชนชั้นที่ถือว่าเป็น “ชนชั้นต่ำ” โดยสิ้นเชิง
ในบรรดาผู้อยู่อาศัยในเมืองการค้าขายอย่างเสรีก็กว้างไกลขึ้นจนทำให้เกิดชาวเมืองที่เป็น“ชนชั้นต่ำ”ที่มักจะก่อความไม่สงบในเวลาที่ข้าวยากหมากแพง ชนชั้นผู้ฝึกงานที่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อการเป็นช่างเต็มตัวจากสมาคมช่างที่มีการควบคุมอย่างเหนียวแน่นก็เกิดความไม่พอใจและถ้าเป็นเมืองมหาวิทยาลัยบางครั้งก็จะชักชวนให้นักศึกษาเข้าร่วมในการก่อความไม่สงบด้วย
ภาวะเงินเฟ้อ
[แก้]สาเหตุที่สองมาจากการที่ชนชั้นขุนนางที่มีรายได้ลดลง ภายในปี ค.ศ. 1285 ภาวะเงินเฟ้อก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของประชากรและขุนนางคิดค่าเช่าที่คงตัวตามระบบที่ทำกันมา เมื่อราคาสินค้าสูงตัวขึ้นเพราะภาวะเงินเฟ้อรายได้ของขุนนางจึงไม่ได้เพิ่มตามขึ้นไปด้วยหรืออาจจะลดลงด้วยซ้ำเมื่อคำนวณกับค่าเงินเฟ้อ สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงคือความเคยชินกับการใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือยที่ทำให้ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งขุนนางก็ทำโดยการขึ้นค่าเช่าโดยไม่ถูกต้อง, ฉ้อโกง, ขโมย หรือบางครั้งก็ใช้กำลังในการนำมาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
ภาษี
[แก้]สาเหตุประการที่สามคือพระมหากษัตริย์ต้องการเงินไปในการต่อสู้ในสงครามซึ่งทำโดยการลดค่าเงินโดยการตีเหรียญกษาปณ์เงินและทองด้วยโลหะที่มีค่าน้อยกว่า ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อซึ่งต้องทำให้เก็บภาษีสูงขึ้น
สถานการณ์ภายนอก
[แก้]วิกฤติกาลในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ต่าง ๆ ที่รวมทั้งความอดอยาก (Great Famine), โรคระบาด และสงคราม เป็นปัจจัยอีกประการหนึ่งที่เพิ่มความกดดันให้แก่สถานการณ์ยิ่งขึ้นแก่ผู้มีฐานะลำบากอยู่แล้ว โรคระบาดครั้งใหญ่ลดจำนวนประชากรของยุโรปที่เป็นผู้ใช้แรงงานในการสร้างความมั่งคั่งลงไปเป็นจำนวนมาก
ศาสนา
[แก้]สาเหตุประการสุดท้ายคือคำสอนของลัทธิฟรานซิสคันที่กล่าวว่าอสังหาริมทรัพย์, ความมั่งคั่ง และความไม่เท่าเทียมกันเป็นสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้า ปรัชญาที่ว่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในคำเทศนาของจอห์น บอลล์ (John Ball) ระหว่างการปฏิวัติชาวนาในอังกฤษที่กล่าวว่า “When Adam delved and Eve span, who was then the gentleman?” หรือที่ว่า “ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของพระเจ้า” ซึ่งเป็นการเรียกร้องความเท่าเทียมกันในสังคมที่ไม่มีใครที่อยู่เหนือกว่าผู้ใด
การปฏิวัติของชุมชนที่สำคัญ
[แก้]- การปฏิวัติโดยอิเวย์โลแห่งบัลแกเรีย (Ivaylo of Bulgaria) ระหว่าง ค.ศ. 1277-ค.ศ. 1280 ก่อนการรุกรานที่ทำความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่จักรวรรดิบัลแกเรียของจักรวรรดิมองโกล อิเวย์โลก็นำการปฏิวัติในการต่อต้านซาร์คอนสแตนตินที่ 1 ผู้ไม่ทรงมีสมรรถภาพในการต่อต้านมองโกล อิเวย์โลกลายเป็นผู้นิยมกันในหมู่เกษตรกรและสามารถโค่นราชบัลลังก์ของซาร์ได้ และขึ้นครองราชย์เองในปี ค.ศ. 1278 อิเวย์โลได้รับความสำเร็จอยู่ระยะหนึ่งในการต่อต้านมองโกลและได้รับชัยชนะต่อกองทัพไบเซ็นไทน์ที่ใหญ่กว่าในยุทธการเดวินา (Battle of Devina) แต่ก็เพียงไม่นานหลังจากนั้นที่อิเวย์โลขาดผู้สนับสนุน
- การปฏิวัติชาวนาในฟลานเดอร์ส (Peasant revolt in Flanders) เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1323 ถึงปี ค.ศ. 1328 เริ่มด้วยการก่อความไม่สงบประปรายในชนบทในปลายปี ค.ศ. 1323 ที่กลายเป็นการปฏิวัติเต็มตัวที่ยาวนานถึงเกือบห้าปี
- การก่อความไม่สงบวันเซนต์จอร์จ (St. George's Night Uprising) เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1343 ถึงปี ค.ศ. 1345 ในเอสโตเนีย
- การปฏิวัติแจ็คเคอรี (Jacquerie) เป็นการปฏิวัติของเกษตรกรที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1356 ถึงปี ค.ศ. 1358 ระหว่างสงครามร้อยปี
- การปฏิวัติชาวนาในอังกฤษ (Peasants' Revolt) ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1381 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ
- การปฏิวัติบูไดนากิอันทาล (Budai Nagy Antal Revolt) เกิดขึ้นในทรานซิลเวเนียในปี ค.ศ. 1437 ยุทธวิธีที่ใช้ได้รับอิทธิพลมาจากยุทธวิธีในสงครามฮุสไซต์ (Hussite Wars)
- การปฏิวัติในเค้นท์ในปี ค.ศ. 1450 นำโดยแจ็ค เคด
- การปฏิวัติเรเม็นเซส (Rebellion of the Remences) ในแคว้นคาเทโลเนียในปี ค.ศ. 1462 และในปี ค.ศ. 1485
- การปฏิวัติคอร์นวอลล์ ค.ศ. 1497 (Cornish Rebellion) ในอังกฤษเกิดขึ้นในคอร์นวอลล์ และลอนดอน
- การปฏิวัติสโลวีเนีย (Slovenian peasant revolt) ในปี ค.ศ. 1515 เป็นการปฏิวัติของเกษตรกรที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปทั้งบริเวณที่ปัจจุบันคือสโลวีเนีย
- การปฏิวัติเจลาลิ (Jelali revolts) ในจักรวรรดิออตโตมัน
- การปฏิวัติอัศวิน (Knight's Revolt) ของปี ค.ศ. 1522-ค.ศ. 1523 ในเยอรมนี
- สงครามชาวนา (Peasants' War) ที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1524 ถึงปี ค.ศ. 1526 ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์.
- การปฏิวัตินักแสวงบุญ (Pilgrimage of Grace) ในอังกฤษในปี ค.ศ. 1536
- การปฏิวัติแด็คเคอ (Dacke War) ในสวีเดนในปี ค.ศ. 1542
- การปฏิวัติไวแอ็ท (Wyatt's rebellion) ในอังกฤษในปี ค.ศ. 1554
- การปฏิวัติหนังสือสวดมนต์ (Prayer Book Rebellion) ในคอร์นวอลล์ และเดวอนในอังกฤษในปี ค.ศ. 1549
- การปฏิวัติโครเอเชียและสโลวีเนีย (Croatian and Slovenian peasant revolt) ในโครเอชียในปี ค.ศ. 1573
- สงครามคัดเจล (Cudgel War) ในปีฟินแลนด์ ค.ศ. 1596
- สงครามเกษตรกรของไอวาน โบโลตนิคอฟ (Ivan Bolotnikov) และ สเต็นคา ราซิน (Stenka Razin) ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในรัสเซีย
- สงครามชาวนา ค.ศ. 1653 (Swiss peasant war)
การปฏิวัติในเมืองที่สำคัญ
[แก้]- การปฏิวัติของกลุ่มซีลล็อตส์แห่งเทสซาโลนิคา (Zealots of Thessalonica), จักรวรรดิไบแซนไทน์, ค.ศ. 1342-ค.ศ. 1350
- การปฏิวัติของโคลา ดิ ริเอ็นซิ (Cola di Rienzi) ในตอนกลางของอิตาลี, ค.ศ. 1354
- การปฏิวัติของชิอมปิ (Revolt of the Ciompi) ในฟลอเรนซ์, ค.ศ. 1378
- การปฏิวัติแฮมเมอร์เม็นในรูอองในประเทศฝรั่งเศส, ค.ศ. 1382
- การปฏิวัติสมาคมช่าง (Revolt of the Brotherhoods) ในราชอาณาจักรอารากอนระหว่างปี ค.ศ. 1519-ค.ศ. 1523
- การปฏิวัติโคมูเนโรส์ (Revolt of the Comuneros) ในราชอาณาจักรคาสตีลระหว่างปี ค.ศ. 1520-ค.ศ. 1521
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Peter Blickle, Unruhen in der ständischen Gesellschaft 1300-1800, 1988