กลุ่มอาการมือแปลกปลอม
กลุ่มอาการมือแปลกปลอม (alien hand syndrome) | |
---|---|
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก | |
ICD-9 | 781.8 |
MeSH | D055964 |
กลุ่มอาการมือแปลกปลอม (อังกฤษ: alien hand syndrome, Dr Strangelove syndrome[1]) หรือ กลุ่มอาการมือต่างดาว เป็นความผิดปกติทางประสาทที่มือของคนไข้เหมือนกับมีใจเป็นของตน เป็นกลุ่มอาการที่มีการรายงานมากที่สุดในกรณีที่คนไข้ได้รับการตัด corpus callosum[2] ออก ซึ่งบางครั้งใช้เป็นวิธีบรรเทาอาการเกี่ยวกับโรคลมชัก (epilepsy) ชนิดรุนแรง แต่ก็เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นด้วยในกรณีอื่น ๆ เช่นการผ่าตัดสมอง โรคหลอดเลือดสมอง การติดเชื้อ เนื้องอก หลอดเลือดโป่งพอง และโรคสมองเสื่อมบางชนิดเช่นโรคอัลไซเมอร์ และ Creutzfeldt-Jakob disease[3] ถึงอย่างนั้น ตั้งแต่ได้รับการค้นพบ ก็มีกรณีผู้ป่วยเพียงแค่ 40–50 กรณีเท่านั้นที่ได้รับการบันทึกไว้[4] เขตสมองที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการนี้ก็คือสมองกลีบหน้า สมองกลีบท้ายทอย และสมองกลีบข้าง[5]
ประวัติ
[แก้]กรณีแรกสุดที่รับการกล่าวถึงในเอกสารทางการแพทย์ปรากฏในรายงานที่บันทึกโดยละเอียดพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันในปี ค.ศ. 1908 โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันที่โด่งดังคือ ดร.เคิรต์ โกลด์สตีน[6] ในรายงานนั้น ดร.โกลด์สตีนได้พรรณนาถึงหญิงถนัดมือขวาคนหนึ่งที่ประสบกับโรคหลอดเลือดสมองที่มีผลเสียหายต่อกายด้านซ้ายของเธอ ที่เธอได้ฟื้นตัวเป็นบางส่วนแล้วเมื่อเขาได้พบกับเธอ ถึงแม้กระนั้น แขนซ้ายของเธอดูเหมือนว่าจะเป็นของ ๆ อีกบุคคลหนึ่งและมักจะทำกิริยาต่าง ๆ ที่เป็นอิสระจากเจตนาของเธอ
เธอบ่นถึงความรู้สึกแปลกปลอมที่มีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวอย่างมีเป้าหมายของมือซ้ายของเธอ และยืนยันว่า "คนอื่น" เป็นคนขยับมือซ้ายนั้น และเธอเองไม่ได้เคลื่อนมือนั้น ดร.โกลด์สตีนรายงานว่า "เพราะเหตุนั้น ในตอนแรก คนไข้จึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทแบบระแวง (paranoia)"
เวลาที่มือซ้ายของเธอฉวยจับสิ่งของ เธอก็ไม่สามารถที่จะปล่อยมือตามใจได้ ความรู้สึกทางกายด้านซ้ายของเธอมีความบกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความรู้สึกเกี่ยวข้องกับตำแหน่งทิศทางของแขนขา เธอมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากบางอย่างในมือซ้าย เช่นการเช็ดหน้าหรือขยี้ตา แม้ว่าจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ปกติเธอต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อที่จะทำอะไรที่เป็นของง่าย ๆ ด้วยแขนข้างซ้ายเพื่อทำตามคำสั่งที่ให้กับเธอ ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนไหวอย่างนั้นก็เป็นไปอย่างช้า ๆ และบางครั้งก็ไม่สมบูรณ์ แม้ว่าการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันจะเป็นไปอย่างง่ายดายแต่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจในขณะที่ควบคุมโดย "คนแปลกหน้า" (หรือบุคคลอื่น)
โดยใช้สังเกตการณ์เหล่านี้เป็นฐาน ดร.โกลด์สตีนได้ค้นคิด "หลักของภาวะเสียการรู้ปฏิบัติ" (doctrine of motor apraxia) ซึ่งเขากล่าวถึงกระบวนการเกิดขึ้นของการกระทำที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ และได้อธิบายสังเกตการณ์เหล่านี้ โดยใช้หลักเกณฑ์ที่ค้นคิดขึ้น ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้เวลาสถานที่และแผนที่ในสมองที่เป็นแบบจำลองของเวลาสถานที่ รวมประเด็นเกี่ยวกับความทรงจำ เจตนาความจำนงค์ใจ และกระบวนการรับรู้ระดับสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างอื่น ๆ
ดร. โกลด์สตีนเชื่อว่า องค์รวมที่มาสัมพันธ์กันทั้งหมดเกี่ยวกับกาลเวลาสถานที่ที่มีการรับรู้ทั้งหมดทั้งจากภายในกาย (โดย interoception) และทั้งจากภายนอกกาย (โดย exteroception) มีความสำคัญทั้งในการรับรู้วัตถุต่าง ๆ ทั้งในการกระทำต่าง ๆ ทางกายที่มีเป้าหมาย โดยสัมพันธ์กับพื้นที่รอบ ๆ ตัวและวัตถุที่รับรู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ในเอกสารคลาสสิกที่สำรวจกลุ่มอาการหลงผิดมากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้นเพราะพยาธิในสมองโดยเฉพาะ นอร์แมน เกชวินด์ ได้กล่าวไว้ว่า ดร.โกล์ดสไตน์ "อาจจะเป็นบุคคลแรกที่เน้นความไม่เป็นเอกภาพของบุคลิกภาพในคนไข้ที่ได้รับการตัด corpus callosum[2] ออก และผลทางจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการผ่าตัดนั้น"[7]
ความคล้ายคลึงกับ anarchic hand syndrome
[แก้]กลุ่มอาการมือไร้กฏบังคับ (anarchic hand syndrome) และ กลุ่มอาการมือต่างดาว (alien hand syndrome) มีความคล้ายคลึงกันแต่เป็นความผิดปกติที่แตกต่างกัน ในกรณีทั้งสอง จะมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ตั้งใจแต่มีเป้าหมาย ที่เกิดขึ้นเองของมือและแขน และมีความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างด้านซ้ายขวาของกาย คนไข้ปกติจะได้รับการวินิจฉัยว่ามีมือไร้กฏบังคับแทนมือต่างดาวถ้าอาการมักจะเกี่ยวข้องกับความบกพร่องในการเคลื่อนไหว (motor impairments) แต่คนไข้ยังยอมรับว่ามือที่มีความบกพร่องนั้นเป็นของตนแต่ว่าเบื่อหน่ายกับการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของมือนั้น[8] ส่วนคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีมือต่างดาวมักจะปรากฏความบกพร่องทางประสาทสัมผัส และมักจะแยกตนเองออกจากมือและการกระทำของมือ โดยบ่อยครั้งกล่าวว่า การกระทำของมือนั้นไม่ใช่เป็นของตน[9]
อาการ
[แก้]คนไข้ที่มีอาการมือต่างดาวยังมีความรู้สึกปกติในมือและขา แต่มีความเชื่อว่า ถึงแม้ว่ามือนั้นจะยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของตน แต่มีความประพฤติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากความประพฤติปกติของตน คือ คนไข้สูญเสียความรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวมีเป้าหมายของมือนั้นเป็นของตน แม้ว่าจะยังรู้สึกว่ามือนั้นยังเป็นของตนอยู่ และคนไข้รู้สึกว่า ตนไม่สามารถจะควบคุมการเคลื่อนไหวของมือต่างดาวได้ คือรู้สึกว่า มือนั้นสามารถทำการได้โดยตนเอง เป็นอิสระจากการควบคุมใต้อำนาจจิตใจของคนไข้ มือนั้นเหมือนกับว่า มีเจตนาความจงใจที่เป็นของตนเอง
"ความประพฤติต่างดาว" สามารถแยกได้จากรีเฟล็กซ์ (ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางกายนอกอำนาจจิตใจ) คือความประพฤติต่างดาวนั้นสามารถมีเป้าหมายหลายหลาก แต่รีเฟล็กซ์เกิดขึ้นแบบเดียวเป็นแบบบังคับ บางครั้ง คนไข้จะไม่รู้ว่ามือต่างดาวนั้นกำลังทำอะไรอยู่จนกระทั่งคนอื่นบอกคนไข้ หรือว่า จนกระทั่งมือนั้นทำอะไรที่เรียกร้องให้คนไข้สนใจพฤติกรรมของมือนั้น คนไข้มีความรู้สึกแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างพฤติกรรมของมือทั้งสอง คือคนไข้พิจารณามือที่มีปัญหาว่า "เอาแต่ใจ" และบางครั้ง "ดื้อ" และโดยทั่ว ๆ ไปไม่ได้อยู่ในอำนาจจิตใจ ในขณะที่มือที่ไม่มีปัญหาเป็นปกติเป็นมือที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจของตน บางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนไข้ที่มีความเสียหายที่ไม่มีการฟื้นฟูใน corpus callosum[2] ที่เชื่อมต่อซีกสมองซ้ายขวา มือทั้งสองจะปรากฏว่า ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน
ประสาทแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อว่า ฟราซัว เรอร์มิตต์ ได้พรรณนาถึงกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกันที่คนไข้ไม่มีความยับยั้งใจในการใช้วัตถุต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัว[10][11] คือ คนไข้ไม่สามารถระงับตนเองจากพฤติกรรมการใช้สิ่งของที่อยู่รอบตัวตามที่ของนั้นจะใช้ได้ (เช่นเมื่อคนไข้เห็นลูกบิดประตู ก็จะต้องบิดลูกบิดนั้นโดยที่ห้ามตนเองไม่ได้)
กลุ่มอาการนี้ ซึ่งเรียกว่า utilization behavior[12] มักเกิดขึ้นเมื่อคนไข้มีความเสียหายในสมองกลีบหน้าอย่างกว้างขวาง และอาจจะคิดได้ว่า เป็นกลุ่มอาการมือต่างดาวที่เกิดขึ้นทั้งในสองด้านของร่างกาย คือคนไข้ถูกควบคุมพฤติกรรมอย่างไม่สามารถระงับใจได้โดยตัวแปรในสิ่งแวดล้อม (เช่นมีแปรงผมอยู่บนโต๊ะข้างหน้า ทำให้คนไข้เริ่มแปรงผม) และไม่สามารถยับยั้งหรือห้ามโปรแกรมปฏิบัติการในสมองที่สัมพันธ์กับวัตถุภายนอกที่อยู่รอบ ๆ ตัว ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นในสมองกลีบหน้าทั้งสองซีก และเกิดอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นไปอีก คนไข้อาจสูญเสียความสามารถในการกระทำที่มีความตั้งใจที่เกิดขึ้นในตน และต้องอาศัยตัวแปรต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง เพื่อที่จะช่วยนำการกระทำของคนไข้ในสังคมสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า กลุ่มอาการต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม (Environmental Dependency Syndrome)[13]
เพื่อที่จะรับมือกับอาการมือต่างดาว คนไข้บางพวกจะเริ่มตั้งชื่อให้กับมือที่มีปัญหา[14] ชื่อเหล่านี้มักเป็นชื่อที่ไม่ดี จากชื่อย่อม ๆ เช่น "ไอ้ตัวทะลึ่ง" จนกระทั่งถึงชื่อที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปเช่น "ไอ้สัตว์ประหลาดจากดวงจันทร์"[15] ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยดูดี้และแจงโควิกพรรณนาถึงคนไข้คนหนึ่งซึ่งเรียกมือต่างดาวของเธอว่า "ทารกโจเซ็ฟ" เมื่อมือนั้นกระทำการแบบขี้เล่นแต่สร้างปัญหาเช่นบีบหัวนมของเธอ (ซึ่งเหมือนกับทารกกัดนมแม่เมื่อกำลังดูดนม ดังนั้น เธอจึงเรียกมือของเธอด้วยชื่อนั้น) เธอก็จะรู้สึกขำและจะบอกทารกโจเซ็ฟว่า "หยุดซนนะ"[15] ส่วนนักวิจัยโบเก็นเสนอว่า บุคลิกภาพบางอย่างของคนไข้เช่น บุคลิกหรูหราที่มีสีสัน มักจะนำไปสู่การตั้งชื่อของมือที่มีปัญหานั้น[16]
เหตุในสมองที่สัมพันธ์กับโรค
[แก้]งานวิจัยด้วยการสร้างภาพทางสมอง (neuroimaging) และทางพยาธิวิทยาแสดงว่า รอยโรคที่สมองกลีบหน้า โดยเฉพาะที่อยู่ทางด้านหน้า และ corpus callosum[2] เป็นเหตุเกิดทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการมือต่างดาวมากที่สุด[3] เขตสมองเหล่านี้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการวางแผนพฤติกรรมและเป็นวิถีประสาทช่วงสุดท้ายก่อนที่พฤติกรรมจะเกิดขึ้น[17]
อาการที่เกิดจากรอยโรคที่ corpus callosum รวมการเคลื่อนไหวของมือที่ไม่ถนัดโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยที่คนไข้มักจะมีความขัดแย้งกันระหว่างมือทั้งสอง คือ มือหนึ่งจะทำงานเป็นปฏิปักษ์กับอีกมือหนึ่ง[16] ตัวอย่างเช่น คนไข้คนหนึ่งยกบุหรี่ขึ้นมาที่ปากของตนด้วยมือที่ไม่มีปัญหาอะไร (คือมือขวาที่เธอถนัด) หลังจากนั้น มือต่างดาวข้างซ้ายที่ไม่ใช่มือถนัดก็จับตัวบุหรี่นั้น ดึงบุหรี่ออกจากปาก แล้วโยนมันทิ้งก่อนที่มือขวาที่ถนัด ที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ จะจุดบุหรี่นั้นได้ ดังนั้น คนไข้จึงคาดการณ์ว่า "ดิฉันเดาว่า 'เขา' คงไม่ต้องการให้ดิฉันสูบบุหรี่ม้วนนั้น" ส่วนคนไข้อีกคนหนึ่ง กำลังติดกระดุมเสื้อของตนด้วยมือถนัดที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ ในขณะที่มือที่ไม่ถนัดเป็นมือต่างดาวก็พยายามจะถอดกระดุมเสื้อ
ส่วนอาการที่เกิดจากรอยโรคที่สมองกลีบหน้ามักจะมีผลต่อมือที่ถนัด แต่ก็มีผลต่อมือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับซีกสมองกลีบหน้าด้านใน (medial) ที่เกิดความเสียหาย และมักจะมีผลเป็น grasp reflex[18], การลูบคลำวัตถุที่บังคับไม่ได้ และความยากลำบากในการปล่อยวัตถุที่อยู่ในมือ[17]
แต่ในกรณีโดยมาก อาการมือต่างดาวแบบคลาสสิกเกิดจากความเสียหายในสมองกลีบหน้าด้านใน (medial) พร้อมกับ corpus callosum[2][14] ในคนไข้พวกนี้ เหตุหลักของความเสียหายก็คือเนื้อคอร์เทกซ์ตายเหตุขาดเลือด (infarction) ที่มีในซีกสมองข้างเดียวหรือสองข้างในเขตที่หลอดเลือดแดง anterior cerebral artery หรือหลอดเลือดอื่น ๆ ที่สืบเนื่องกันเป็นทางส่งเลือด[17] หลอดเลือดแดง anterior cerebral artery ส่งเลือดพร้อมด้วยออกซิเจนไปยังส่วนด้านใน (medial) ต่าง ๆ โดยมากของสมองกลีบหน้าและไปยัง 23 ส่วนหน้าของ corpus callosum[2][19] และเนื้อคอร์เทกซ์ตายอาจจะมีผลเป็นความเสียหายในจุดต่าง ๆ ที่ต่อเนื่องกันในสมองที่รับเลือดมาจากหลอดเลือดนั้น เพราะว่าความเสียหายต่อสมองกลีบหน้าด้านในมักจะเกิดพร้อมกับรอยโรคใน corpus callosum อาการของโรคที่เกิดจากสมองกลีบหน้าอาจจะเป็นไปพร้อมกับอาการของโรคที่เกิดจากรอยโรคใน corpus callosum แต่ความเสียหายที่จำเพาะเจาะจงต่อ corpus callosum เท่านั้น มักจะไม่มีอาการของโรคที่เกิดจากสมองกลีบหน้า[14]
ประเภทย่อย
[แก้]มีประเภทย่อย ๆ ที่แตกต่างกันหลายประเภทของอาการนี้ที่ปรากฏสัมพันธ์กับความบาดเจ็บของสมองส่วนต่าง ๆ
Corpus callosum
[แก้]ความเสียหายต่อ corpus callosum[2] อาจจะก่อให้เกิดการกระทำมีเป้าหมายในมือที่ไม่ถนัดของคนไข้ คือ คนไข้ที่ถนัดขวามีสมองด้านซ้ายเป็นหลักก็จะประสบอาการนี้ในมือซ้าย และคนไข้ที่ถนัดซ้ายมีสมองด้านขวาเป็นหลักก็จะประสบอาการนี้ในมือขวา
ในประเภทย่อยนี้ มือต่างดาวของคนไข้ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อมือดีที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ อาการอื่นที่มักจะพบในคนไข้ประเภทย่อยนี้ก็คือ agonistic dyspraxia และ diagonistic dyspraxia
Agonistic dyspraxia มีอาการเป็นการเคลื่อนไหวอัตโนมัติอย่างบังคับไม่ได้ของมือหนึ่งเมื่อบอกให้คนไข้ทำการด้วยอีกมือหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อบอกคนไข้ที่มี Corpus callosum เสียหายให้ดึงเก้าอี้มาข้างหน้า มือที่มีปัญหาก็จะผลักเก้าอี้ไปข้างหลังอย่างไม่ลังเลและบังคับไม่ได้[20] ดังนั้น Agonistic dyspraxia จึงมองได้ว่าเป็นการกระทำแข่งขันกันที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจจิตใจระหว่างมือสองมือ มีเป้าหมายในการทำการงานที่ต้องการให้สำเร็จ โดยที่มือที่มีปัญหาแข่งกับมือที่ไม่มีปัญหา เพื่อทำงานมีจุดมุ่งหมายที่ตอนแรกตั้งใจให้มือที่ไม่มีปัญหาทำ
โดยเปรียบเทียบกันแล้ว Diagonistic dyspraxia เป็นการทำการขัดแย้งกันระหว่างมือที่ดีและมือที่มีปัญหาที่ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อจุดประสงค์ของการงานที่มุ่งหมายให้มือที่ไม่มีปัญหาทำ ตัวอย่างเช่น เมื่อคนไข้ได้รับการผ่าตัดที่ corpus callosum เพื่อที่จะลดระดับการชักเหตุโรคลมชัก มือต่างดาวข้างซ้ายของคนไข้คนหนึ่งมักจะทำการเป็นปฏิปักษ์กับมือขวา เช่น ในขณะที่กำลังจะพลิกหน้าหนังสือไปยังหน้าต่อไปด้วยมือขวา มือซ้ายก็พยายามที่จะปิดหนังสือ[21]
ในอีกกรณีหนึ่งของมือต่างดาวที่เกิดจาก corpus callosum คนไข้ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความเป็นปฏิปักษ์ของมือทั้งสอง แต่ว่ามีปัญหาจากมือที่มีปัญหาเคลื่อนไหวเลียนแบบมือที่ดีอย่างไม่ได้ตั้งใจ[22] คือ เมื่อบอกคนไข้ให้เคลื่อนไหวมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็จะทำการเลียนแบบมืออีกข้างหนึ่งอย่างไม่มีเจตนา และเป็นไปอย่างนี้จนกระทั่งเตือนสติคนไข้ให้รับทราบถึงกิริยาของมือที่มีปัญหา แล้วให้คนไข้เลิกทำอาการเลียนแบบนั้น คนไข้คนนี้มีหลอดเลือดโป่งพองที่แตกออก (ruptured aneurysm) ใกล้กับหลอดเลือดแดง anterior cerebral artery ซึ่งมีผลให้มือซ้ายทำการเคลื่อนไหวเลียนแบบมือขวา คนไข้เล่าว่า มือซ้ายมักจะทำการเป็นปฏิปักษ์และเข้าไปควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่คนไข้พยายามจะทำด้วยมือขวา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพยายามที่จะจับแก้วน้ำด้วยมือขวาจากด้านขวา มือซ้ายก็จะยื่นออกไปจับแก้วจากด้านซ้าย
งานวิจัยเร็ว ๆ นี้ของเกชวินและคณะ[23] เล่ากรณีของหญิงคนหนึ่งที่มีโรคหัวใจจากหลอดเลือดแดงแข็ง (ICD-10 I25.1) ขั้นรุนแรง คือ ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากการผ่าตัดหัวใจแบบ bypass[24] เธอสังเกตว่า มือซ้ายของเธอเริ่มจะ "มีชีวิตของมันเอง" มือนั้นบางครั้งพยายามปลดกระดุมเสื้อของเธอ บางครั้งพยายามจะบีบคอเธอเมื่อกำลังนอนหลับ และจะทำการต่อสู้กับมือขวาในการตอบโทรศัพท์อย่างไม่มีเจตนา เธอต้องยับยั้งมือที่มีปัญหาด้วยมือขวาโดยใช้กำลังเพื่อป้องกันอันตราย นอกจากนั้นแล้ว มือซ้ายของเธอยังมีอาการ ideomotor apraxia[25] ที่รุนแรงอีกด้วย คือมันยังสามารถที่จะลอกเลียนแบบการกระทำอยู่แต่ต้องทำพร้อมกับมือขวาที่ทำการลอกเลียนแบบไปพร้อม ๆ กัน โดยใช้เครื่อง MRI เกชวินและคณะพบความเสียหายที่ครึ่งหลังของ corpus callosum โดยเว้นครึ่งหน้าและ splenium และยื่นเข้าไปเล็กน้อยใน white matter ของ cingulate cortex ในสมองซีกขวา
สมองกลีบหน้า (สมองด้านหน้า)
[แก้]ความเสียหายด้านใน (medial) ต่อสมองกลีบหน้าซีกเดียวอาจมีผลเป็นการยื่นมือ การจับ และการเคลื่อนไหวมีเป้าหมายอย่างอื่น ๆ ในมือด้านตรงข้าม ถ้าเป็นความเสียหายส่วนหน้าด้านใน (anteromedial) ต่อสมองกลีบหน้า การเคลื่อนไหวมักจะเป็นแบบยื่นไปเพื่อสำรวจ โดยมักจะจับวัตถุภายนอกและใช้วัตถุนั้นตามกิจ ทั้ง ๆ ที่คนไข้ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองกำลัง "ควบคุม" การเคลื่อนไหวนั้น ๆ[26] เมื่อจับวัตถุนี้ไว้ในมือแล้ว คนไข้ประเภทมีความเสียหายต่อ "สมองด้านหน้า" นี้ มักมีปัญหาในการปล่อยวัตถุจากมือ และบางครั้งอาจจะใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ควบคุมได้ในการดึงนิ้วของมือต่างดาวออกจากวัตถุเพื่อที่จะปล่อยวัตถุนั้น[27] นักวิชาการบางพวก (เช่นประสาทแพทย์ชาวนิวซีแลนด์ชื่อว่า เดเร็ก เด็นนี่-บราวน์) เรียกพฤติกรรมนี้ว่า magnetic apraxia (แปลว่า ภาวะเสียการรู้ปฏิบัติแบบแม่เหล็ก)[28]
โกลด์เบอร์กและบลูม[29]กล่าวถึงหญิงผู้หนึ่งซึ่งมีเนื้อตายเหตุขาดเลือด (infarction) ขนาดใหญ่ด้านหน้าของผิวด้านใน (medial) ของสมองกลีบหน้าซีกซ้าย ที่มีผลเป็นมือต่างดาวข้างขวา คนไข้ไม่ปรากฏว่ามี corpus callosum ที่ขาดหรือที่เสียหายใด ๆ คนไข้มี grasp reflex[18] บ่อย ๆ คือ มือขวาของเธอจะยื่นออกไปแล้วจับวัตถุโดยที่ไม่สามารถจะปล่อย คนไข้ยิ่งพยายามที่จะปล่อยมือเท่าไร มือก็จะจับแน่นขึ้นเท่านั้น แต่ด้วยความพยายามที่มีสมาธิ ในที่สุดคนไข้ก็จะสามารถปล่อยวัตถุนั้นได้ แต่ถ้าไม่ใส่ใจเมื่อไร พฤติกรรมอย่างนี้ก็จะเริ่มขึ้นอีก คนไข้จะปล่อยมือโดยดึงนิ้วของตนเองออกจากวัตถุด้วยมือที่ไม่มีปัญหาโดยใช้กำลังก็ยังได้ นอกจากนั้นแล้ว มือที่มีปัญหาก็จะเกาขาของคนไข้จนกระทั่งว่าต้องใส่เครื่องป้องกันไม่ให้เกิดแผล[29] ส่วนคนไข้อีกคนหนึ่งไม่เพียงแจ้งถึงการจับสิ่งของที่อยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ปล่อย แต่ว่ามือต่างดาวนั้นก็ยังจับองคชาตของคนไข้แล้วเริ่มทำการสำเร็จความใคร่ต่อหน้าคนอื่น[30]
สมองกลีบข้างและสมองกลีบท้ายทอย (สมองด้านหลัง)
[แก้]ส่วนประเภทอีกอย่างหนึ่งของกลุ่มอาการมือต่างดาวมีความเกี่ยวข้องกับความเสียหายต่อสมองกลีบข้างหรือ/และสมองกลีบท้ายทอย คือเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจาก "สมองด้านหลัง" อาการแบบนี้มักจะดึงฝ่ามือออกไม่ให้กระทบสัมผัสอะไรนาน ๆ มากกว่าที่จะยื่นออกไปจับวัตถุเพื่อจะให้เกิดการเร้าที่ฝ่ามือเหมือนในอาการที่เกิดจาก สมองด้านหน้า คือ ในกลุ่มอาการที่เกิดจากสมองด้านหน้า การกระทบสัมผัสที่ฝ่ามือหรือหน้านิ้วมีผลเป็นการงอนิ้วกำวัตถุโดยผ่านกระบวนการสัญญาณป้อนกลับเชิงบวก (คือ ตัวกระตุ้นก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ส่งเสริม เพิ่มกำลัง และทรงไว้ซึ่งสัญญาณกระตุ้นที่เริ่มกระบวนการมาตั้งแต่ทีแรก)
ในนัยตรงกันข้าม ในอาการที่เกิดจากสมองด้านหลัง จะมีการหลีกเลี่ยงการกระทบสัมผัสที่ฝ่ามือหรือหน้านิ้วโดยการคลายนิ้วและถอนฝ่ามือออก เป็นกระบวนการสัญญาณป้อนกลับเชิงลบ (นั่นก็คือ ตัวกระตุ้นก็ดี หรือแม้แต่การคำนึงถึงตัวกระตุ้นก็ดี ที่ฝ่ามือ ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวมือและนิ้วที่ลด ขัดขวาง และกำจัดตัวกระตุ้นที่เริ่มกระบวนการนั้น หรือ ในกรณีที่เป็นเพียงแต่การคำนึงถึงการกระทบที่ฝ่ามือหรือนิ้ว ก็จะลดโอกาสที่จะทำให้เกิดการกระทบสัมผัสอย่างนั้น)
การเคลื่อนไหวต่างดาวในกลุ่มอาการที่เกิดจากสมองด้านหลังมักจะมีการประสานงานกันในระดับที่ต่ำกว่า และมักจะปรากฏการเคลื่อนไหวแบบไม่ละเมียดละไมที่กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานงานกันที่ปกติไม่พบในกลุ่มอาการที่เกิดจากสมองด้านหน้า เชื่อกันว่าอาการอย่างนี้เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (ataxia) ที่เกี่ยวข้องกับการเห็นเนื่องจากว่า อาการจะเกิดขึ้นเพราะมีการเห็นวัตถุทางตาและมีการใส่ใจในวัตถุนั้น อาการเคลื่อนไหวที่ไม่ประสานกันอาจจะเกิดขึ้นเพราะการทำงานขัดแย้งกันระหว่างความโน้มเอียงในการหลีกเลี่ยงการกระทบสัมผัสวัตถุที่นำไปสู่การถอยออกจากวัตถุ และการจับตาที่วัตถุซึ่งมักจะนำไปสู่การเข้าไปหาวัตถุ
แขนขาต่างดาวที่เกิดจากสมองด้านหลังอาจมีอาการ "ลอยขึ้นไปในอากาศ" คือมีการดึงแขนขาออกจากการสัมผัสพื้นผิวของวัตถุโดยการใช้กล้ามเนื้อที่ต่อต้านแรงโน้มถ่วง และมือต่างดาวที่เกิดจากสมองด้านหลังอาจจะปรากฏท่าทางที่เป็นแบบอย่างอย่างหนึ่ง คือ จะมีการยืดนิ้วทั้งหมดออกไปโดยมีการยืดข้อระหว่างนิ้ว (interphalangeal)[31] ออก, มีการยืดในระดับสูง (hyper-extension) ซึ่งข้อที่โคนนิ้ว (metacarpophalangeal) ออก, และมีการดึงฝ่ามือออกจากผิววัตถุต่าง ๆ ที่เข้ามาใกล้หรือดึงขึ้นมาไม่ให้กระทบกับผิวของพื้น ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนไหวแบบต่างดาวก็ยังปรากฏโดยมีเป้าหมาย ซึ่งเป็นอาการที่แยกกลุ่มอาการนี้จากการเคลื่อนไหวแขนขานอกอำนาจจิตใจอย่างอื่น ๆ เช่น athetosis[32], chorea[33], หรือกล้ามเนื้อกระตุกรัว (myoclonus[34])
ความคล้ายคลึงกันระหว่างอาการที่เกิดจากสมองส่วนหน้าและสมองส่วนหลัง
[แก้]ในอาการที่เกิดจากทั้งสมองส่วนหน้าและสมองส่วนหลัง การตอบสนองของคนไข้ต่อการที่มือสามารถทำการงานอย่างมีจุดมุ่งหมายเป็นอิสระจากอำนาจจิตใจมีความคล้ายคลึงกัน และในกรณีทั้งสองนั้น อาการมือต่างดาวเกิดขึ้นที่มือตรงข้ามกับซีกสมองที่มีความเสียหาย
ทฤษฎีที่ใช้อธิบาย
[แก้]องค์ประกอบที่เหมือนกันในอาการมือต่างดาวก็คือ คอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิ (primary motor cortex) ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมือถูกแยกออกจากคอร์เทกซ์ก่อนสั่งการ (premotor cortex) แต่ไม่มีความเสียหายในการปฏิบัติการเคลื่อนไหวของมือ
งานวิจัยในปี ค.ศ. 2009 ที่ใช้ fMRI ในการสังเกตลำดับการทำงานของเครือข่ายคอร์เทกซ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวใต้อำนาจจิตใจของคนปกติ พบ "ลำดับการทำงานจากหน้าไปหลัง จาก supplemental motor area, ผ่าน premotor cortex และ motor cortex, ไปยัง posterior parietal cortex"[35] ดังนั้น ในการเคลื่อนไหวแบบปกติ ความรู้สึกว่าเป็นตน (sense of agency[36]) ที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับการทำงานไปตามลำดับ ที่ในตอนแรกเกิดขึ้นที่สมองกลีบหน้าส่วนหน้าด้านใน (anteromedial ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับ supplementary motor complex ในผิวด้านในของซีกสมองส่วนหน้า) ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการทำงานของคอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิที่รอยนูนก่อนร่องกลาง (pre-central gyrus ที่ด้านข้างของซีกสมอง) ซึ่งเป็นที่ที่การสั่งการเคลื่อนไหวของมือเกิดขึ้น หลังจากการทำงานของคอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิ ที่สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติการ (การเคลื่อนไหว) โดยส่งพลังประสาทเข้าไปในลำเส้นใยประสาทคอร์เทกซ์-ไขสันหลัง (corticospinal tract[37]) ก็จะมีการติดตามด้วยการทำงานใน posterior parietal cortex ซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการรับสัญญาณป้อนกลับของความรู้สึกทางกายที่เกิดขึ้นที่ปลายประสาทเพราะการเคลื่อนไหว และจะมีการแปลผลประสานกับก๊อปปี้สัญญาณ efference copy[38] ที่ได้รับมาจากคอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิ จึงมีผลให้การเคลื่อนไหวนั้นปรากฏว่าเป็นของตน ไม่ใช่เป็นการเคลื่อนไหวมีเหตุจากปัจจัยภายนอก
นั่นก็คือ efference copy ยังสมองให้สามารถแยกแยะความรู้สึกทางกายที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่มีกำเนิดจากภายใน และความรู้สึกที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่มีปัจจัยภายนอก ความล้มเหลวของกลไกนี้ อาจส่งผลให้ไม่สามารถแยกแยะระหว่างการเคลื่อนไหวแขนขาที่มีกำเนิดในตน และที่เกิดจากเหตุภายนอก สถานการณ์ที่ผิดปกติเช่นนี้สามารถนำไปสู่การแปลผลที่ผิดพลาดจากความจริงว่า การเคลื่อนไหวที่มีกำเนิดจากภายในจริง ๆ เป็นเหมือนกับการเคลื่อนไหวที่เกิดจากภายนอก ซึ่งเป็นผลมาจากความล้มเหลวในการสร้างความรู้สึกว่าเป็นตน (sense of agency[36]) สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวที่มีกำเนิดในตน
ส่วนงานวิจัยปี ค.ศ. 2007 ซึ่งสำรวจความแตกต่างกันของแบบการทำงานในสมอง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวต่างดาวเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวที่เป็นปกติ ในคนไข้คนหนึ่งที่มีอาการมือต่างดาว พบว่า การเคลื่อนไหวต่างดาวมีการทำงาน "เป็นต่างหาก" อย่างผิดปกติของคอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิในซีกสมองที่มีความเสียหายซึ่งอยู่ในด้านตรงข้ามกับมือต่างดาว ในขณะที่การเคลื่อนไหวปกติมีกระบวนการทำงานเป็นลำดับดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ คอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิในซีกสมองที่ไม่เสียหายมีการทำงานร่วมกับ premotor cortex ที่อยู่ข้างหน้า และ posterior parietal cortex (ที่อยู่ข้างหลัง) โดยสันนิษฐานว่า premotor cortex ส่งสัญญาณเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่ต้องการให้กับคอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิ (ที่ทำการสั่งการเคลื่อนไหว) และระบบรับความรู้สึกทางกายส่งสัญญาณเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนั้นให้กับ posterior parietal cortex อย่างทันที
โดยประมวลผลงานวิจัยที่ใช้ fMRI ทั้งสองนี้ ก็จะสามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่า พฤติกรรมต่างดาวที่ไม่เป็นไปพร้อมกับความรู้สึกว่าเป็นตน[36] เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานที่เกิดขึ้นเองของคอร์เทกซ์สั่งการปฐมภูมิ ที่เป็นอิสระจากอิทธิพลก่อนการสั่งการเคลื่อนไหวของ premotor cortex ที่ปกติมีความสัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของความรู้สึกว่าเป็นตน[36]เกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวนั้น
และดังที่กล่าวไว้แล้วด้านบน สมมุติฐานนี้ก็สามารถเชื่อมกับความคิดเกี่ยวกับ efference copy และข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว คือ efference copy เป็นสัญญาณที่มีสมมุติฐานว่า เกิดใน premotor cortex (ที่ปกติเกิดขึ้นในกระบวนการเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายใน) ที่ส่งไปสู่คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายในสมองกลีบข้าง ก่อนที่คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายจะรับสัญญาณป้อนกลับเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ที่มาจากอวัยวะที่รับสัญญาณสั่งการเคลื่อนไหวนั้น
โดยทั่วไปแล้ว เชื่อกันว่า สมองสามารถรู้จำการเคลื่อนไหวหนึ่งว่าตนเป็นต้นกำเนิด เมื่อสัญญาณ efference copy มีค่าเท่ากับสัญญาณป้อนกลับที่ส่งมาจากอวัยวะ คือ สมองสามารถสัมพันธ์สัญญาณป้อนกลับที่มาจากอวัยวะกับสัญญาณของ efference copy เพื่อที่จะแยกแยกสัญญาณป้อนกลับที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของตนและสัญญาณที่เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยภายนอก และถ้าสมองไม่สร้าง efference copy ไว้ สัญญาณป้อนกลับที่มากจากอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของตนก็จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก เพราะว่า สมองไม่สามารถสัมพันธ์การเคลื่อนไหวนั้นกับ efference copy ดังนั้น ความรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้เกิดจากตนแม้ว่าจริง ๆ แล้วจะเกิดขึ้นในตน (คือการไม่มีความรู้สึกว่าเป็นของตน[36]สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวนั้น) อาจจะเป็นตัวชี้ว่า มีความล้มเหลวในการสร้างสัญญาณ efference copy ที่ปกติแล้วเกิดขึ้นในกระบวนการก่อนการสั่งการ (premotor process) ที่ซึ่งจะมีการวางแผนการเคลื่อนไหวก่อนที่จะเกิดการปฏิบัติการ
เนื่องจากว่า ความรู้สึกว่าเป็นอวัยวะของตนไม่มีความเสียหายในกรณีนี้ และไม่มีคำอธิบายที่ดีว่า อวัยวะของตนนั้นเคลื่อนไหวไปเองอย่างมีเป้าหมายโดยที่ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตน[36]ได้อย่างไร ความไม่ลงรอยกันทางปริชาน (cognitive dissonance[39]) ก็จะเกิดขึ้นซึ่งสามารถแก้ได้โดยสมมุติว่า การเคลื่อนไหวมีเป้าหมายนั้น เกิดจากพลังของมนุษย์ต่างดาว (หรือของคนอื่น) ที่ไม่สามารถจะกำหนดได้ เป็นพลังภายนอกที่สามารถอำนวยการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายในอวัยวะของตนได้
ทฤษฎีการขาดความเชื่อมต่อ
[แก้]มีสมมุติฐานว่า อาการมือต่างดาวเกิดขึ้นเมื่อมีการขาดความเชื่อมต่อกันระหว่างส่วนต่าง ๆ ของสมองที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย[29] คือ เขตต่าง ๆ ในสมองสามารถที่จะสั่งการเคลื่อนไหว แต่ไม่สามารถที่จะสร้างความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ดังนั้น จึงเกิดความเสียหายหรือความสูญเสียของความรู้สึกว่าเป็นตน (sense of agency[36]) ที่ปกติเกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวใต้อำนาจจิตใจ คือ มีการแยกออกระหว่างกระบวนการที่ทำการปฏิบัติการเคลื่อนไหวอวัยวะทางกายภาพจริง ๆ และกระบวนการที่สร้างความรู้สึกภายในว่า เป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนไหวเหล่านั้นโดยเจตนา โดยที่กระบวนการหลังนี้ปกติก่อให้เกิดความรู้สึกภายในใจว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่มีการเกิดขึ้น การควบคุม และการปฏิบัติการโดยตนเองที่กำลังกระทำการเคลื่อนไหวนั้นอยู่[40]
งานวิจัยเร็ว ๆ นี้สำรวจความสัมพันธ์ทางประสาทของการเกิดความรู้สึกว่าเป็นตน (sense of agency[36]) ในกรณีปกติ[41] และดูเหมือนว่า จะมีความสอดคล้องกันระหว่างสัญญาณที่เกิดขึ้นแล้วส่งไปทางประสาทนำออกสู่กล้ามเนื้อในร่างกาย กับสิ่งที่รู้สึกได้ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลในประสาทส่วนปลายที่สืบเนื่องมาจากสัญญาณนำออกที่เป็นตัวสั่งการนั้น แต่ในกลุ่มอาการมือต่างดาว กลไกประสาทที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความสอดคล้องนี้อาจจะเกิดความเสียหาย นี่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของกลไกทางสมองที่แยกแยะระหว่างสัญญาณป้อนกลับที่เกิดจากการเคลื่อนไหว (re-afference) (คือ ความรู้สึกป้อนกลับเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ตนเองเป็นผู้ให้เกิดขึ้น) และความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวของอวัยวะเพราะปัจจัยภายนอกเป็นเหตุโดยที่ตนเองไม่ได้ทำอะไร
มีการเสนอว่า กลไกทางสมองอย่างนี้ เป็นไปพร้อมกับการสร้างก๊อปปี้ของสัญญาณสั่งการที่เรียกว่า efference copy (ก๊อปปี้ของสัญญาณส่งออก) แล้วส่งไปในเขตสมองที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับความรู้สึกทางกาย แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณที่เรียกว่า corollary discharge (ผลที่ควรจะขจัดออก) ซึ่งควรจะมีความสัมพันธ์กับสัญญาณนำเข้าจากประสาทส่วนปลายที่เกิดขึ้นจากการกระทำการตามการสั่งการของสัญญาณที่ส่งออก ดังนั้น สหสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณ corollary discharge กับสัญญาณนำเข้าจริงที่ป้อนกลับมาจากประสาทส่วนปลาย ก็จะสามารถใช้ในการตัดสินว่า การกระทำที่ต้องการได้เกิดขึ้นตามที่คาดหวังหรือไม่ เมื่อผลจริงของการกระทำที่ได้รับทางความรู้สึกมีความสอดคล้องกันกับผลที่คาดหวัง การกระทำนั้นก็จะได้รับการระบุว่า เป็นสิ่งที่ตนทำให้เกิด และได้รับการสัมพันธ์กับความรู้สึกว่าเป็นตน[36]
แต่ว่า ถ้ากลไกทางประสาทที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างระบบสั่งการและระบบความรู้สึกเกี่ยวกับการกระทำที่ตนก่อให้เกิดขึ้นมีความเสียหาย ก็จะหวังได้ว่า ความรู้สึกว่าเป็นตน[36]ในการกระทำนั้น จะไม่เกิดขึ้นดังที่กล่าวไว้แล้วในส่วนก่อน ๆ
ทฤษฎีการสูญเสียการควบคุมแบบยับยั้งของผู้กระทำ
[แก้]อีกทฤษฎีหนึ่งที่ได้รับการเสนอเพื่ออธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ เสนอว่า มีระบบประสาทส่วน premotor และส่วน "ผู้กระทำ" ที่แยกออกจากกัน ที่มีส่วนในกระบวนการแปลความตั้งใจในการกระทำไปเป็นการกระทำจริง ๆ[29] คือ ระบบสมองกลีบหน้าส่วนหน้าด้านใน (anteromedial) ส่วนที่เป็น premotor ร่วมการทำงานในกระบวนการอำนวยการกระทำแบบสำรวจหรือเข้าไปหาวัตถุ ที่อาศัยความผลักดันภายในเป็นฐาน โดยการปล่อยหรือลดการควบคุมแบบยับยั้งต่อการกระทำเหล่านั้น
งานวิจัยเร็ว ๆ นี้งานหนึ่งที่รายงานการบันทึกสัญญาณประสาทระดับนิวรอนในสมองกลีบหน้าด้านในในมนุษย์ แสดงการทำงานของนิวรอนที่ระบุในบริเวณนี้ก่อนการเคลื่อนไหวจริง ๆ ของนิ้วที่เป็นไปใต้อำนาจจิตใจ ก่อนถึง 2–3 ร้อยมิลลิวินาที และผู้เขียนสามารถตั้งแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ (computational model) ที่สามารถพยากรณ์เจตนาของการกระทำเมื่อความเปลี่ยนแปลงของอัตราการยิงสัญญาณของกลุ่มนิวรอนในสมองเขตนี้ข้ามขีดเริ่มเปลี่ยน[42] ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นในระบบสมองส่วนนี้ ทำให้เกิดการสูญเสียการควบคุมแบบยับยั้งและนำไปสู่การกระทำเกี่ยวกับการสำรวจและการถือเอาวัตถุที่เป็นไปอย่างอิสระ
ส่วนระบบประสาท premotor ที่ตั้งอยู่ที่จุดเชื่อมระหว่างสมองกลีบขมับ สมองกลีบข้าง และสมองกลีบท้ายทอย ส่วนหลังด้านข้าง (posterolateral) ก็มีทั้งการควบคุมแบบยับยั้งคล้าย ๆ กัน ต่อการกระทำที่ถอยออกจากวัตถุในสิ่งแวดล้อม และทั้งการควบคุมแบบเร้าให้เกิดการกระทำ ที่อาศัยความผลักดันจากสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อม ซึ่งต่างจากความผลักดันที่เกิดขึ้นในภายใน ระบบสองระบบที่อยู่ในสมองซีกเดียวกันนี้ (คือสมองกลีบหน้าและกลีบสมองส่วนหลัง) แต่ละระบบก่อให้เกิดการทำงานแบบตรงกันข้ามกัน ทำงานร่วมกันโดยการยับยั้งการกระทำตรงกันข้ามกัน โดยสร้างเสถียรภาพระหว่าง การเข้าไปหาวัตถุ (คือความตั้งใจที่จะถือเอา ที่จะแตะต้องและจับเอาวัตถุที่กำลังใส่ใจ) กับการถอยออกจากวัตถุ (คือความตั้งใจที่จะหลีกออก ที่จะหนีห่างออกจากวัตถุที่กำลังใส่ใจ) อันเป็นโปรแกรมพฤติกรรมของอวัยวะด้านตรงข้ามของซีกสมอง[43][44] และโดยร่วมกันแล้ว ระบบเหล่านี้ประกอบประสานกันเป็นระบบ "ผู้กระทำ" ที่ควบคุมอวัยวะทั้งสองข้าง
เมื่อระบบสมองกลีบหน้าส่วนหน้าด้านใน (anteromedial) มีความเสียหาย การเคลื่อนไหวที่ประกอบด้วยจุดมุ่งหมายแต่ไม่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ ที่เข้าไปสำรวจ เข้าไปจับ (เป็นพฤติกรรมที่ นักวิจัยเด็นนี่-บราวน์เรียกว่า "positive cortical tropism ความเบนแบบบวกของคอร์เทกซ์") ก็ถูกปล่อยออก (คือไม่มีการยับยั้ง) ในอวัยวะด้านตรงกันข้ามของซีกสมอง[43][44] นี้เรียกว่า positive cortical tropism เพราะว่าสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส เช่นความรู้สึกสัมผัสที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้าของนิ้วหรือฝ่ามือ มีความสัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของการเคลื่อนไหวที่เพิ่มหรือยกระดับการเร้าผ่านการเชื่อมต่อป้อนกลับแบบบวก (ดูที่กล่าวมาแล้วด้านบนเกี่ยวกับ "สมองกลีบข้างและสมองกลีบท้ายทอย")
แต่ถ้าระบบประสาทที่จุดเชื่อมระหว่างสมองกลีบขมับ สมองกลีบข้าง และสมองกลีบท้ายท้อย ส่วนหลังด้านข้าง (posterolateral) เกิดความเสียหาย การเคลื่อนไหวประกอบด้วยจุดมุ่งหมายที่อยู่นอกอำนาจจิตใจที่เป็นไปในลักษณะของการปล่อยและการดึงออก เช่นการยกขึ้นหรือการหลีกเลี่ยงโดยสัญชาตญาณ (เป็นพฤติกรรมที่เด็นนี่-บราวน์เรียกว่า "negative cortical tropism ความเบนแบบลบของคอร์เทกซ์") ก็ถูกปล่อยออก (คือไม่มีการยับยั้ง) ในอวัยวะด้านตรงกันข้ามของซีกสมอง[44] นี้เรียกว่า negative cortical tropism เพราะว่าสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส เช่นความรู้สึกสัมผัสที่เกิดขึ้นเนื่องจากด้านหน้าของนิ้วหรือฝ่ามือ มีความสัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของการเคลื่อนไหวที่ลดหรือกำจัดการเร้าผ่านการเชื่อมต่อป้อนกลับแบบลบ (ดูที่กล่าวมาแล้วด้านบนเกี่ยวกับ "สมองกลีบข้างและสมองกลีบท้ายทอย")
ระบบผู้กระทำในแต่ละซีกสมองมีความสามารถในการควบคุมแขนขาในด้านตรงข้ามอย่างเป็นอิสระ (จากกันและกัน) แม้ว่า การควบคุมที่มีการประสานงานกันของมือทั้งสองจะเป็นไปโดยปกติเพราะมีการสื่อสารกันระหว่างซีกสมองทั้งสอง โดยการส่งแอกซอนข้าม corpus callosum[2] ในระดับเปลือกสมอง และข้ามเส้นประสาทเชื่อมโยง (commissures) อื่น ๆ ในระดับใต้เปลือกสมอง (subcortical)
ความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งระหว่างซีกสมองทั้งสองข้าง ก็คือการเชื่อมต่อโดยตรง ระหว่างระบบผู้กระทำของซีกสมองหลัก (คือซีกสมองด้านตรงข้ามกับมือที่ถนัด) กับระบบการเข้ารหัส[45]ซึ่งตั้งอยู่โดยหลักในซีกสมองหลัก ที่เชื่อมการกระทำกับกำเนิดของการกระทำ และการกระทำกับการแปลผลเป็นภาษาและความคิดที่ใช้ภาษา นั่นก็คือ ระบบผู้กระทำหลักในสมองที่ไม่มีปัญหาอยู่ในซีกสมองหลักซึ่งมีการเชื่อมต่อกับระบบภาษา มีการเสนอว่า แม้ว่าระบบสั่งการจะได้รับการพัฒนาก่อนระบบภาษาในช่วงพัฒนาการ แต่ว่า ก็จะมีกระบวนการในช่วงพัฒนาการที่ระบบภาษาจะรับการเชื่อมต่อกับระบบสั่งการ เพื่อที่จะสร้างสมรรถภาพการเข้ารหัสความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำโดยใช้ภาษา
เมื่อมีการขาดการเชื่อมต่อกันอย่างสำคัญระหว่างซีกสมองทั้งสองข้างที่เกิดจากความเสียหายที่ corpus callosum[2] ระบบผู้กระทำในซีกสมองหลักที่เชื่อมต่อกับระบบภาษา ซึ่งยังสามารถควบคุมแขนขาที่ถนัดก็จะสูญเสียโดยระดับหนึ่ง ซึ่งความสามารถในการควบคุมโดยตรงและโดยอ้อมซึ่งผู้กระทำที่อยู่ในซีกสมองที่ไม่เป็นใหญ่ และซึ่งแขนขาที่ไม่ถนัด เป็นแขนขาที่ก่อนหน้านั้นตอบสนองและ "เชื่อฟัง" ผู้กระทำหลัก ดังนั้น การกระทำมีจุดมุ่งหมายที่เกิดขึ้นนอกเหนืออิทธิพลของผู้กระทำหลัก ก็สามารถเกิดขึ้นได้ และสมมุติฐานพื้นฐาน (ที่สมองมีอยู่) ว่า มือทั้งสองนั้นมีการควบคุมโดยผู้กระทำหลัก ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความรู้สึกว่าเป็นตน[36]ที่ปกติเกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวของแขนขาที่ไม่ถนัด ก็จะไม่เกิดขึ้นในกรณีนี้ หรือว่า เกิดขึ้นแต่ไม่ปรากฏให้รับรู้ได้ ดังนั้น คนไข้จึงต้องสร้างคำอธิบายใหม่ เพื่อที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ผู้กระทำในซีกสมองที่ไม่เป็นหลักสามารถที่จะก่อให้เกิดการทำงานในแขนขาที่ไม่ถนัด
ในกรณีเช่นนี้ ผู้กระทำที่แยกออกเป็นสองพวกสามารถควบคุมการกระทำที่เกิดขึ้นได้อย่างพร้อม ๆ กันในแขนขาทั้งสองข้าง แต่กลับทำการมีจุดมุ่งหมายที่ตรงกันข้ามกันแม้ว่ามือที่ถนัดก็ยังมีความสืบเนื่องจากผู้กระทำหลัก ที่เชื่อมต่อกับระบบภาษา ที่สามารถจะเข้าถึง (คือรับรู้) ได้ และที่ปรากฏว่า "ยังอยู่ใต้อำนาจจิตใจ" และยังเชื่อฟังต่อเจตนาความมุ่งหวัง คือยังสามารถควบคุมได้โดยความคิด
แต่ในขณะเดียวกัน มือที่ไม่ถนัดกลับได้รับการอำนวยการโดยผู้กระทำที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับระบบภาษา ที่มีเจตนาความจงใจที่ผู้กระทำหลักสามารถรู้ได้โดยอ้อมหลังเหตุการณ์เท่านั้น คือมือนั้นขาดการเชื่อมต่อและไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้กระทำหลักอีกต่อไป และดังนั้น มือนั้นจึงได้รับการระบุจากผู้กระทำหลักที่เชื่อมต่อกับระบบภาษา ที่สามารถควบคุมได้ ว่ามีผู้กระทำต่างดาว (หรือผู้กระทำอื่น) อีกพวกหนึ่งที่เข้าถึงไม่ได้ และมีความเป็นไปแยกอยู่ออกต่างหาก
เพราะฉะนั้น ทฤษฎีนี้ จึงสามารถอธิบายการเกิดขึ้นของพฤติกรรมต่างดาวในแขนขาที่ไม่ถนัด และความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกันระหว่างแขนขาทั้งสอง เมื่อมีความเสียหายต่อ corpus callosum[2] และอาการมือต่างดาวที่ต่าง ๆ กันที่เกิดจากความเสียหายในสมองกลีบหน้าส่วนหน้าด้านใน และ/หรือในส่วนเชื่อมต่อของสมองกลีบขมับ สมองกลีบข้าง และสมองกลีบท้ายทอย ส่วนหลังด้านข้าง สามารถอธิบายได้โดยความเสียหายในซีกสมองเฉพาะส่วนซึ่งเป็นส่วนประกอบของระบบผู้กระทำส่วนหน้า หรือส่วนหลัง โดยที่อาการต่าง ๆ ของมือต่างดาวที่สัมพันธ์กับความเสียหาย ที่เฉพาะเจาะจง ย่อมเกิดขึ้นที่แขนขาด้านตรงกันข้ามของซีกสมองที่มีความเสียหาย
การบำบัดรักษา
[แก้]ยังไม่มีวิธีรักษากลุ่มอาการมือต่างดาว[46] แต่ว่า สามารถลดและบริหารอาการต่าง ๆ ได้โดยระดับหนึ่งโดยให้ใช้มือต่างดาวทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นให้ถือวัตถุในมือ นอกจากนั้นแล้ว การเรียนรู้เพื่อทำการงานอาจจะฟื้นฟูการควบคุมมือใต้อำนาจจิตใจได้ในระดับที่มีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น คนไข้คนหนึ่งมีอาการมือต่างดาวแบบสมองด้านหน้าเสียหาย และมักจะยื่นมือออกไปจับวัตถุต่าง ๆ (เช่นลูกบิดประตู) เมื่อกำลังเดิน คุณหมอจึงได้ให้ถือไม้เท้าในมือเมื่อเดิน แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ไม้เท้าในการทรงตัวหรือในการเดิน แต่เมื่อถือไม้เท้านั้นไว้มั่นในมือต่างดาว มือก็จะไม่ปล่อยแล้วทิ้งไม้เท้าลงเพื่อจะออกไปถือเอาอะไรอย่างอื่นอีก เทคนิคอย่างอื่น ๆ อีกที่ได้ผลมีทั้ง เอามือหนีบไว้ในระหว่างขา หรือตีมือนั้น และการใช้น้ำอุ่น ๆ รด หรือการให้มองหรือแตะที่อื่น[47] นอกจากนั้นแล้ว วูและคณะ[48] ยังพบว่า การใช้สัญญาณเตือนที่น่ารำคาญที่เริ่มทำงานเมื่อมือต่างดาวทำการที่นอกอำนาจจิตใจ ลดช่วงเวลาที่มือต่างดาวนั้นเข้าไปถือเอาวัตถุ
ถ้ามีความเสียหายเพียงข้างเดียวต่อซีกสมอง โดยทั่ว ๆ ไป พฤติกรรมต่างดาวก็จะค่อย ๆ ลดความถี่ลงตามกาลเวลา และการควบคุมที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจก็จะดีขึ้นในมือที่มีปัญหา คือ จริง ๆ แล้ว เมื่ออาการมือต่างดาวเกิดขึ้นโดยฉับพลันเพราะความเสียหายที่ไม่กระจัดกระจายไป (คืออยู่เฉพาะที่) การฟื้นตัวมักจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งปี[49] ทฤษฎีหนึ่งที่สามารถอธิบายการฟื้นฟูนี้ได้ ก็คือว่า สภาพพลาสติกของระบบประสาท (neuroplasticity[50]) ในซีกสมองทั้งสองข้างและในระบบประสาทใต้เปลือกสมองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการให้เกิดการเคลื่อนไหวใต้อำนาจจิตใจ อาจเป็นเหตุในการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการปฏิบัติการกับกระบวนการให้กำเนิดความรู้สึกว่าเป็นตนขึ้นใหม่ แต่กระบวนการเช่นนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจดี
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการแจ้งถึงการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอาการมือต่างดาว เมื่อมีความเสียหายเพียงแค่ซีกเดียวของสมอง[29] และในบางกรณี คนไข้อาจจะต้องใช้วิธีจำกัดการกระทำที่นอกลู่นอกทาง ไม่น่าพึงใจ และบางครั้งทำให้เกิดความอาย ของมือที่มีปัญหา โดยจับแขนของมือนั้นด้วยมือที่ไม่มีปัญหา[29]
โดยอีกวิธีหนึ่ง หมอสอนคนไข้ให้ทำการงานอย่างหนึ่ง เช่นเอามือต่างดาวไปแตะวัตถุหนึ่ง หรือแตะจุดเป้าหมายที่เด่นชัดเทียบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งที่คนไข้สามารถฝึกมือให้เป็นไปตามอำนาจจิตใจโดยอาศัยความตั้งใจและสมาธิ เพื่อที่จะครอบงำพฤติกรรมต่างดาวเสีย เป็นไปได้ว่า วิธีการฝึกเหล่านี้ก่อให้เกิดการจัดระเบียบใหม่ของนิวรอนในระบบ premotor ในซีกสมองที่มีความเสียหาย หรือโดยอีกทฤษฎีหนึ่ง ก็คือ สมองข้างเดียวกันที่ไม่มีปัญหาอาจจะขยายการควบคุมแขนที่มีปัญหาเพิ่มขึ้น
อีกวิธีหนึ่งก็คือการบรรเทาการกระทำของมือต่างดาว และการจำกัดสัญญาณความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มาจากมือนั้น โดยปิดมือโดยเครื่องปกคลุมเช่นอุปกรณ์พยุง (orthosis) เฉพาะกิจที่ทำด้วยโฟม หรือแม้แต่ถุงมือทำครัว (ที่ใช้เพื่อป้องกันความร้อน) คนไข้บางพวกรายงานว่า ได้ใช้อุปกรณ์พยุงที่ห้ามการยึดจับที่ไม่ยอมเลิก[29] หรือยับยั้งมือต่างดาวโดยผูกไว้ที่เสาเตียง[51] แต่ว่า วิธีเหล่านี้จำกัดคนไข้จากการใช้มือที่มีปัญหานั้นในการทำการงานอย่างอื่น ซึ่งอาจจะพิจารณาได้ว่า เป็นวิธีที่จำกัดมากเกินไป และอีกอย่างหนึ่ง ตามทฤษฎีแล้ว วิธีนี้อาจจะทำกระบวนการฟื้นฟูการควบคุมมือต่างดาวนั้นให้เนิ่นช้า คือ สภาพพลาสติกของระบบประสาท (neuroplasticity[50]) ที่เป็นผลจากการฟื้นฟูอาจต้องอาศัยการฝึกควบคุมมือนั้นซ้ำ ๆ กันในการทำกิจต่าง ๆ และอาจต้องอาศัยการเสริมกำลังโดยผ่านประสบการณ์ที่สำเร็จผลในการปราบปรามพฤติกรรมต่างดาวที่เกิดขึ้นในขณะฝึกมือนั้น
ที่ปรากฏในสื่อ
[แก้]- ในภาพยนตร์ Dr. Strangelove ของ สแตนลีย์ คูบริก ปี ค.ศ. 1964 ตัวละครชื่อเดียวกับภาพยนตร์ที่เล่นโดยปีเตอร์ เซ็ลเลอร์ส มีอาการมือต่างดาว ดังนั้น อาการกลุ่มนี้จึงมักจะเรียกโดยนามของภาพยนตร์นี้
- ในละครชุดเฮาส์ เอ็ม.ดี.ตอน Both Sides Now (แปลว่า คราวนี้ เอาทั้งสองข้างนะ!) คนไข้มีอาการมือต่างดาว
- ในนวนิยาย L'Arbre des Possibilitées (ต้นไม้แห่งความเป็นได้) ของเบอร์นารด์ เวอร์เบอร์ นายตำรวจผู้หนึ่งมีมือข้างหนึ่งที่ทำฆาตกรรมในช่วงที่เขามีอาการมือต่างดาว
- ในหนังสารคดี Dark Matters (เรื่องลึกลับ) ที่ฉายผ่านช่อง Science เล่าถึงอาการมือต่างดาวและถึงความเป็นมาของโรค[52]
- ในภาพยนตร์ Evil Dead II ตัวละครแอชถูกบีบบังคับให้ตัดมือขวาของตัวเองออกเมื่อมือถูกผีสิง ภายหลังเขาทดแทนมือของตนด้วยเลื่อยยนต์เพื่อสู้กับพวกซอมบี
- ในละครตลกร้ายชุด "The League of Gentlemen (สันนิบาตสุภาพบุรุษ)" ตอน "The One-Armed Man is King (คนแขนเดียวนั่นแหละเป็นพระราชา)" ผู้ถูกตัดแขนแลนซ์ได้รับแขนมาจากหญิงคนหนึ่งที่มีจิตใจของตนเอง คือแขนนั้นมีพฤติกรรมเหมือนกับแขนของเจ้าของคนก่อน
- ในภาพยนตร์ "Idle Hands (มือไร้งาน)" ตัวละครแอนตันถูกบีบบังคับให้ตัดมือขวาของตนเองออกเมื่อมือนั้นถูกผีสิงและฆ่าคนโดยที่เขาไม่รู้ตัว[53]
- มีฉากหนึ่งในภาพยนตร์ของจิม แคร์รี่ย์เรื่อง "ขี้จุ๊เทวดาฮากลิ้ง (Liar Liar)" ที่ตัวร้ายสูญเสียการควบคุมมือขวาของเขาอย่างชั่วคราว แล้วมือนั้นก็เขียนคำว่า "blue (น้ำเงิน)" บนใบหน้าของเขาซ้ำ ๆ กัน
- ในนวนิยาย "Peace on Earth (สันติสุขบนโลก)" ผู้เขียนสแตนิสลาฟ เล็ม ใช้การผ่าตัด corpus callosum[2]ออก เป็นส่วนสำคัญของโครงเรื่อง
ดูเพิ่ม
[แก้]เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑ "The Mind's Strange Syndromes". BBC News. September 8, 2000. "จนถึงทุกวันนี้ 'มือไร้กฏบังคับ (anarchic hand)' ก็ยังเป็นอาการที่ได้ชื่อประชานิยมตามภาพยนตร์ของสแตนลีย์ คูบริกในปี ค.ศ. 1964 ว่า 'Dr Strangelove syndrome' ตามชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นชื่อของภาพยนตร์ด้วย เป็นตัวละครที่มีมือที่ไม่ยอมฟังใคร"
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 corpus callosum หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า colossal commissure เป็นกลุ่มใยประสาทที่กว้างและแบนใต้เปลือกสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (มีรก) ประเภท eutheria อยู่ที่ ร่อง longitudinal fissure (ที่แบ่งสมองออกเป็น 2 ข้าง) เป็นโครงสร้างที่เชื่อมซีกสมองซ้ายขวาเข้าด้วยกัน และอำนวยให้เขตในสมองทั้งสองซีกสื่อสารกันได้ เป็นส่วน white matter (ส่วนในสมองที่โดยมากประกอบด้วยแอกซอน) ที่ใหญ่ที่สุดในสมองมีแอกซอนส่งเชื่อมซีกสมองถึง 200-250 ล้านแอกซอน
- ↑ 3.0 3.1 Bellows, A. (2009) . Alien hand syndrome, and other too weird, not to be true stories. New York: Workman Publishing
- ↑ Bryant, Charles W. (September 12, 2007). "How Alien Hand Syndrome Works". สืบค้นเมื่อ March 19, 2014.
- ↑ Kloesel, B., Czarnecki, K., Muir, J.J. & Keller, A.S. (2010) . Sequelae of a left-sided parietal stroke: Posterior alien hand syndrome. Neurocase, 16 (6), 488–493 retrieved from http://search.ebscohost.com/login.aspx?direct=true&db=cin20&AN=2010871812&site=ehost-live
- ↑ Goldstein, K. (1908) . Zur Lehre von der motorischen Apraxie. J. fur Psychol. und Neurol. (Lpz.), XI., 169–187, 270–283.
- ↑ Geschwind, N. (1965) . Disconnexion syndromes in animals and man. Brain, 88, 237–294, 585–644.
- ↑ Hertsa, J., Davis, A.S., Barisa, m. & Leman, E.R. (2012) . Atypical sensory alien hand syndrome: A case study. Neuropsychology, 19:1, 71–77 retrieved from http://dx.doi.org/10.1080/09084282.2011.643950
- ↑ Aboitiz, F., Carrasco, X., Schroter, C., Zaidel, D., Zaidel, E. & M. Lavados. (2003) . The alien hand syndrome: classification of forms reported and discussion of a new condition. Neuro Sci, 24, 252–257 retrieved from http://people.uncw.edu/tothj/PSY595/Aboitiz-The%20Alien%20Hand%20Syndrome-NS-2003.pdf
- ↑ Lhermitte, F. (1983) . 'Utilization behaviour' and its relation to lesions of the frontal lobes. Brain, 106, 237–255.
- ↑ Lhermitte, F., Pillon, B., Serdaru, M. (1986) . Human autonomy and the frontal lobes. Part I. Imitation and utilization behavior: a neuropsychological study of 75 patients. Annals of Neurology, 19, 326-334.
- ↑ utilization behavior (แปลว่า พฤติกรรมการใช้งาน) เป็นความผิดปกติในประสาทพฤติกรรมที่คนไข้จะเข้าไปจับวัตถุที่มองเห็น แล้วเริ่มพฤติกรรมที่เหมาะกับวัตถุนั้นในเวลาและโอกาสที่ไม่เหมาะสม
- ↑ Lhermitte, F. (1986) . Human autonomy and the frontal lobes. Part II. Patient behavior in complex and social situations: The "environmental dependency syndrome." Annals of Neurology, 19, 335–343.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 Scepkowski, Lisa A.; Cronin-Golomb, Alice (ธันวาคม 2003). "The Alien Hand: Cases, Categorizations, and Anatomical Correlates" (PDF). Behavioral and Cognitive Neuroscience Reviews. Sage Publications. 2 (4): 261–277. doi:10.1177/1534582303260119.
- ↑ 15.0 15.1 Doody R. S., & Jankovic J. (1992) The alien hand and related signs. J Neurol Neurosurg Psychiatry;55:806-10
- ↑ 16.0 16.1 Bogen, J. E. (1979) . The callosal syndrome. In K. M. Heilman & E. V. Valenstein (Eds.), Clinical neuropsychology (pp. 295–338) . New York: Oxford University Press
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Caixeta L., Maciel P., Nunes J., Nazareno L., Araújo L., Borges R. J. (2007) . Alien hand syndrome in AIDS Neuropsychological features and physiopathological considerations based on a case report. Dementia & Neuropsychologia;1 (4) :418–421
- ↑ 18.0 18.1 คือ คนไข้ยื่นมือออกไปจับวัตถุสิ่งของโดยไม่ปล่อย
- ↑ Giroud, M., & Dumas, R. (1995) . Clinical and topographical range of callosal infarction: a clinical and radiological correlation study. Journal of Neurology, Neurosurgery, & Psychiatry, 59, 238–242.
- ↑ Caixeta L, Maciel P, Nunes J, Nazareno L, Araújo L, Borges RJ (2007). "Alien hand syndrome in AIDS Neuropsychological features and physiopathological considerations based on a case report" (PDF). Dementia & Neuropsychologia. 1 (4): 418–421. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2016.
- ↑ Akelaitis, A. I. (1945) . Studies on the corpus callosum. IV. Diagonistic dyspraxia in epileptics following partial and complete section of the corpus callosum. American Journal of Psychiatry, 101, 594–599.
- ↑ Gottlieb D., Robb K., Day B. (1992) . Mirror movements in the alien hand syndrome. Am J Phys Med Rehabil; 71:297–300.
- ↑ Geschwind, D. H., Iacoboni, M., Mega, M. S., Zaidel, D. W., Cloughesy, T., & Zaidel, E. (1995) . Alien hand syndrome: Interhemi-spheric motor disconnection due to a lesion in the midbody of the corpus callosum. Neurology, 45, 802–808.
- ↑ coronary artery bypass surgery หรือเรียกตามภาษาพูดของคนไทยว่า การ bypass เป็นการเอาหลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาเย็บเข้าที่เส้นเลือดหัวใจเป็นทางเลี่ยง (bypass) ของเส้นหัวใจที่ตีบตันและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อความตายจากโรคหัวใจจากหลอดเลือดแดงแข็ง
- ↑ ideomotor apraxia หรือ ภาวะเสียการรู้ปฏิบัติแบบ ideomotor เป็นความผิดปกติทางประสาทมีอาการเป็นความไม่สามารถที่จะเลียนแบบการเคลื่อนไหวของมือ และไม่สามารถใช้มือทำท่าทางเหมือนจะใช้เครื่องมือ เช่นทำมือเหมือนกับจะหวีผมของตน แต่ว่าความสามารถในการใช้เครื่องมือเองโดยไม่ต้องบอก เช่นหวีผมในตอนเช้า อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่บ่อยครั้งก็จะสูญเสียความสามารถนี้ด้วย
- ↑ Goldberg, G., Mayer, N.H., Toglia, J.U. (1981) . Medial frontal cortex infarction and the alien hand sign. Archives of Neurology, 38, 683–686.
- ↑ Seyffarth, H. (1950) . The grasp reflex and the instinctive grasp reaction. The physiological basis and diagnostic value. Acta Psychiatrica Scandinavica, 25, Supplement s59, 146–148.
- ↑ Jasvinder Chawla (December 9, 2020). "Apraxia and Related Syndromes". WebMD. สืบค้นเมื่อ March 2, 2021.
- ↑ 29.0 29.1 29.2 29.3 29.4 29.5 29.6 Goldberg, Gary; Bloom, Karen K (October 1990). "The alien hand sign. Localization, lateralization and recovery". American Journal of Physical Medicine & Rehabilitation. Williams & Wilkins. 69 (5): 228–238. doi:10.1097/00002060-199010000-00002. PMID 2222983.
- ↑ Kischka, U., Ettlin, T. M., Lichtenstern, L., & Riedo, C. (1996) . Alien hand syndrome of the dominant hand and ideomotor apraxia of the nondominant hand. European Neurology, 36, 39–42.
- ↑ ข้อระหว่างนิ้ว (interphalangeal joints) เป็นข้อต่อบานพับ (hinge joints) ในระหว่างกระดูกนิ้ว แต่ละนิ้วยกเว้นนิ้วแม่โป้งมีสองข้อ คือ proximal interphalangeal joints คือระหว่างกระดูกนิ้วชิ้นแรกและกระดูกชิ้นที่สอง และ distal interphalangeal joints คือระหว่างกระดูกชิ้นที่สองและกระดูกชิ้นที่สาม
- ↑ athetosis มีอาการเป็นความเคลื่อนไหวของนิ้วมือ มือ และนิ้วเท้า และในบางกรณีแขน ขา คอ และลิ้น เป็นความเคลื่อนไหวที่ช้า ๆ อยู่นอกอำนาจจิตใจ เป็นไปแบบคด ๆ รอยโรคที่สมองเป็นเหตุเกิดมากที่สุด โดยเฉพาะที่ corpus striatum
- ↑ chorea เป็นความผิดปกติทางการเคลื่อนไหวนอกอำนาจจิตใจ อยู่ในกลุ่มความผิดปกติทางประสาทที่เรียกว่า dyskinesias. chorea เป็นคำมาจากภาษากรีกที่แปลว่า เต้นรำ เพราะว่ามีการเคลื่อนไหวแบบเร็ว ๆ ที่มือและเท้าเหมือนกับการเต้นรำ
- ↑ กล้ามเนื้อกระตุกรัว (myoclonus) เป็นการกระตุกนอกอำนาจจิตใจของกล้ามเนื้อหรือกลุ่มของกล้ามเนื้อ
- ↑ Andrew S. Kayser; Felice T. Sun; Mark D'Esposito (22 April 2009). "A comparison of Granger causality and coherency in fMRI‐based analysis of the motor system". Human Brain Mapping. John Wiley & Sons. 30 (11): 3475–3494. doi:10.1002/hbm.20771. PMID 19387980.
- ↑ 36.00 36.01 36.02 36.03 36.04 36.05 36.06 36.07 36.08 36.09 36.10 ความรู้สึกว่าเป็นตน (sense of agency) เป็นความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัยว่า ตนเป็นผู้เริ่ม ผู้ปฏิบัติการ และผู้ควบคุมการกระทำที่เป็นไปตามเจตนา
- ↑ ลำเส้นใยประสาทคอร์เทกซ์-ไขสันหลัง (corticospinal tract) ส่งข้อมูลจากคอร์เทกซ์ในสมองไปยังไขสันหลัง มีแอกซอนโดยมากจากคอร์เทกซ์สั่งการ (motor cortex)
- ↑ efference copy เป็นการทำซ้ำของสัญญาณสั่งการเคลื่อนไหวที่ส่งไปจากระบบสั่งการ (motor system) ข้อมูลนี้สามารถใช้ในการเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ได้รับเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่เกิดจากสัญญาณสั่งการนั้น ส่งผลให้สามารถเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจริง ๆ กับการเคลื่อนไหวที่ประสงค์ และให้สามารถกรองผลที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของตนจากการรับรู้ โดยใช้ efference copy กับ internal models สมองก็จะสามารถพยากรณ์ถึงผลของการกระทำหนึ่ง ๆ ได้
- ↑ ในจิตวิทยาแผนใหม่ ความไม่ลงรอยกันทางปริชาน (cognitive dissonance) เป็นความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมีปริชานคือสิ่งที่รับรู้สองอย่างที่ขัดแย้งกันซึ่งอาจจะเป็นความคิด ความเชื่อ ค่านิยม หรือการตอบสนองทางอารมณ์ ในช่วงที่อยู่ในภาวะที่ไม่ลงรอยกัน คนนั้นอาจจะรู้สึกว่ามีความไม่สมดุล อาจจะเกิดความเบื่อ ความหิวกระหาย ความหวั่นวิตก ความรู้สึกผิด ความโกรธ ความอาย และความวิตกกังวลเป็นต้น
- ↑ Goldberg, G., Goodwin, M.E. (2011) Alien hand syndrome. Encyclopedia of Clinical Neuropsychology, (eds) Caplan, B., Deluca, J., Kreutzer, J.S., pp. 84–91. http://www.springerreference.com/docs/navigation.do?m=book114
- ↑ Stephanie Spengler; D. Yves von Cramon; Marcel Brass (10 June 2009). "Control of shared representations relies on key processes involved in mental state attribution". Human Brain Mapping. John Wiley & Sons. 30 (11): 3704–3718. doi:10.1002/hbm.20800. PMID 19517530.
- ↑ Itzhak Fried; Roy Mukamel; Gabriel Kreiman (February 10, 2011). "Internally Generated Preactivation of Single Neurons in Human Medial Frontal Cortex Predicts Volition" (PDF). Neuron: Cell Press. Elsevier. 69 (3): 548–562. doi:10.1016/j.neuron.2010.11.045.
- ↑ 43.0 43.1 Denny-Brown, D. (1958) . The nature of apraxia. Journal of Nervous and Mental Diseases, 126, 9-32.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 Denny-Brown, D. (1966) . The Cerebral Control of Movement. (The Sherrington Lectures for 1963) Liverpool: Liverpool University Press.
- ↑ การเข้ารหัส โดยรวม ๆ ก็คือ การแปลงข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบหนึ่ง ไปเป็นข้อมูลในอีกรูปแบบหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เข้ารหัสเสียงดนตรีไปเป็นหลุมเล็ก ๆ บนซีดีที่ใช้เล่นเพลงนั้นได้
- ↑ Gottlieb D., Robb K., Day B. (1992) . Mirror movements in the alien hand syndrome. Am J Phys Med Rehabil;71:297-300
- ↑ Nicholas, J. J., Wichner, M. H., Gorelick, P. B., and Ramsey, M. M. (1998) . ‘‘Naturalization’’ of the alien hand: case report. Arch Phys Med Rehabil 79: 113–114
- ↑ Wu F. Y., Leong C. P., & Su T. L (1999) . Alien hand syndrome: report of two cases. Chang Gung Med J;22:660–5
- ↑ Chan J. L., & Ross E. D. (1997) . Alien hand syndrome: influence of neglect on the clinical presentation of frontal and callosal variants. Cortex;33:287–99.
- ↑ 50.0 50.1 สภาพพลาสติกของระบบประสาท (neuroplasticity) เป็นความเปลี่ยนแปลงของวิถีประสาทและไซแน็ปส์ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม, จากกระบวนการต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมและในระบบประสาท, และจากความบาดเจ็บความเสียหายในสมอง ทฤษฎีนี้ได้ทดแทนทฤษฎีก่อนหน้านี้ที่บอกว่า สมองเป็นอวัยวะที่มีความคงที่ทางสรีระภาพ และเป็นทฤษฎีที่ใช้เพื่อการศึกษาว่า สมองเปลี่ยนแปลงไปในช่วงชีวิตหนึ่งอย่างไรและด้วยเหตุอะไร
- ↑ Banks, G. B., Short, P., Martinez, A. J., Latchaw, R., Ratcliff, G., & Boller, F. (1989) . The alien hand syndrome: Clinical and postmortem findings. Archives of Neurology, 46, 456–459
- ↑ "Discovery Science- Alien Hand Syndrome". สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2012.
- ↑ "Idle Hands". IMDB. 1999.
บรรณานุกรม
[แก้]- Bellows, Allen (19 พฤศจิกายน 2005). "Alien Hand Syndrome". Damn Interesting. สืบค้นเมื่อ 6 ตุลาคม 2011.
- "Definition of Alien Hand Syndrome". MedicalNet.com. 15 ธันวาคม 2000. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 สิงหาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 6 ตุลาคม 2011.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Cross reference articles on Alien Hand Syndrome by LA Scepkowski & A Cronin-Golomb
- Editorial paper regarding the different forms of Alien Hand Syndrome by G Goldberg
- Recent review article from the Archives of Neurology by I. Biran and A. Chatterjee
- Information about the rare disorder, as well as how many times it has influenced the media.
- BBC Video: Woman with Alien Hand Syndrome