ข้ามไปเนื้อหา

ผู้ใช้:Supakit prem/ทดลองเขียน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ชีวิตช่วงต้น[แก้]

ภาพถ่ายขาวดำของเด็กหนุ่มที่มองไปด้านขวา
ปิวซุตสกีในชุดนักเรียน

ปิวซุตสกีเกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1867 ในตระกูลขุนนางปิวซุตสกีที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ซูวุฟ (Zułów) ใกล้กับหมู่บ้านซูวุฟ (ปัจจุบันคือเมืองซาลาวัส ประเทศลิทัวเนีย)[1][2] ในตอนที่เขาเกิด หมู่บ้านซูวุฟอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิรัสเซียนับมาตั้งแต่ ค.ศ. 1795 โดยก่อนหน้านั้น หมู่บ้านนี้อยู่ในเขตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ซึ่งเป็นดินแดนส่วนประกอบของเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียมาตั้งแต่ ค.ศ. 1569 ถึง ค.ศ. 1795 ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หมู่บ้านกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาควิลนีอัส ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างลิทัวเนียกับโปแลนด์ตลอดสมัยระหว่างสงคราม โดยนับตั้งแต่ ค.ศ. 1922 จนกระทั่ง ค.ศ. 1939 หมู่บ้านนี้อยู่ในเขตปกครองของสาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2 จากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หมู่บ้านต้องเผชิญกับการยึดครองของโซเวียตและเยอรมนี ทรัพย์ที่ดินของยูแซฟมาจากสินสมรสของมาเรีย ผู้เป็นมารดา ซึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลบิลแลวิตช์ผู้มั่งคั่ง[3][4] ตระกูลปิวซุตสกีเป็นตระกูลขุนนางที่ยากจน[5] แต่ยึดมั่นในธรรมเนียมการรักชาติโปแลนด์[6][7] และมีอุปนิสัยความเป็นชาวโปแลนด์[8][9] หรือชาวลิทัวเนียที่นิยมโปแลนด์[5][10][b] ยูแซฟเป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูล[11]

ยูแซฟเข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในวิลนีอัส ร่วมกับบรอนิสวัฟ อดัม และยัน ผู้เป็นพี่ชาย โดยที่โรงเรียนเขาไม่ใช่นักเรียนที่ขยันมากนัก[12] ยูแซฟได้รับการแนะนำจากมารดาให้เข้าศึกษาในสาขาวิชาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมโปแลนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการสั่งระงับไว้[13] สำหรับบิดาของเขาก็มีชื่อว่ายูแซฟเช่นเดียวกัน โดยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมต่อต้านการปกครองของรัสเซียในการก่อการกำเริบเดือนมกราคม ค.ศ. 1863[6] จากการที่ตระกูลปิวซุตสกีไม่พอใจกับนโยบายการทำให้เป็นรัสเซียของรัฐบาล ยูแซฟในวัยหนุ่มจึงไม่ต้องการเข้าร่วมพิธีกรรมของคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์เป็นอย่างยิ่ง[13] ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เขาได้ออกจากโรงเรียนด้วยความเกลียดชังต่อระบอบซาร์ จักรวรรดิ และวัฒนธรรมรัสเซีย[5]

ใน ค.ศ. 1885 ปิวซุตสกีเข้าศึกษาต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์คอฟ โดยในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มเข้าไปพัวพันกับกลุ่มนารอดนายาวอลยา (Narodnaya Volya) ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของขบวนการปฏิวัติรัสเซียนารอดนิค (narodniks)[14] ใน ค.ศ. 1886 เขาถูกขับออกจากมหาวิทยาลัย เนื่องจากเข้าร่วมการประท้วงของเหล่านักศึกษา[6] เขาจึงยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดอร์ปัตแต่ถูกปฏิเสธ เพราะทางมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเข้าไปพัวพันทางการเมือง[6] เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1887 ทางการจักรวรรดิเข้าจับกุมปิวซุดสกีในข้อหาร่วมกันวางแผนสมคบกับนักสังคมนิยมในวิลนีอัสในการลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 อันที่จริงแล้ว ปิวซุดสกีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแผนการ หากแต่บรอนิสวัฟ น้องชายของเขาเป็นผู้เข้าร่วมในแผนการลอบปลงพระชนม์[15][16] ยูแซฟได้รับโทษเนรเทศไปยังไซบีเรียเป็นเวลา 5 ปี โดยช่วงแรกเขาถูกคุมตัวอยู่ที่คีเรนสค์ บริเวณแม่น้ำลีนา แล้วต่อมาจึงย้ายไปที่ตุนคา[6][16]

เนรเทศไปไซบีเรีย[แก้]

ขณะกำลังเคลื่อนย้ายนักโทษไปยังไซบีเรีย ปิวซุดสกีถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำในอีร์คุตสค์เป็นเวลาหลายสัปดาห์[17] โดยในระหว่างการคุมขัง มีผู้ต้องขังคนอื่น ๆ โดนผู้คุมดูถูกเหยียดหยามและไร้ซึ่งการขอโทษ ปิวซุดสกีและนักโทษการเมืองคนอื่นต่างโดนผู้คุมทำร้ายร่างกาย เนื่องจากการขัดขืนของบรรดานักโทษ และทำให้ปิวซุดสกีสูญเสียฟันไป 2 ซี่ ต่อมาเขาได้ร่วมการอดอาหารประท้วง จนกระทั่งทางการคืนสิทธิพิเศษให้แก่นักโทษการเมืองที่ถูกลิดรอนภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว[18] ใน ค.ศ. 1888 เขาได้รับโทษจำคุกอีก 6 เดือนจากการมีส่วนร่วมในการประท้วง โดยในคืนแรกของการจองจำ ปิวซุตสกีต้องเผชิญกับความหนาวเย็นของไซบีเรียที่มีอุณหภูมิติดลบ 40 องศา ซึ่งด้วยเหตุนี้ทำให้ปิวซุตสกีเจ็บป่วยแทบสิ้นชีวิตและมีปัญหาสุขภาพตามรบกวนเขาไปตลอด[19]

ในระหว่างการเนรเทศ ปิวซุตสกีได้พบกับซือบีรัก (Sybirak) กลุ่มผู้ที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไซบีเรีย[20] โดยเขาได้รับอนุญาตให้ทํางานได้ตามใจชอบและเป็นครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาต่างประเทศให้แก่เด็กในท้องถิ่น[5] (นอกจากภาษารัสเซียและภาษาโปแลนด์แล้ว เขารู้ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาลิทัวเนีย ซึ่งต่อมาเขาได้เรียนภาษาอังกฤษ)[21] เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินบำนาญ 10 รูเบิล เหมือนกับคนอื่น ๆ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นถือว่าเขาเป็นขุนนางโปแลนด์[22]

พรรคสังคมนิยมโปแลนด์[แก้]

ใน ค.ศ. 1892 ปิวซุตสกีกลับจากการเนรเทศและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์อดอมาวัส ใกล้กับเตเนเนย์ (Teneniai) ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1893 เขาเข้าร่วมพรรคสังคมนิยมโปแลนด์[6] และมีส่วนช่วยจัดตั้งพรรคสังคมนิยมสาขาลิทัวเนีย[23] โดยเขาอยู่ฝ่ายนักสังคมนิยมหัวรุนแรงในช่วงแรก แม้ว่าขบวนการสังคมนิยมจะเป็นสากลนิยมอย่างเด่นชัด แต่เขายังคงมีแนวคิดชาตินิยมโปแลนด์[24] ใน ค.ศ. 1894 เขากลายเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์รอบอตนิก (Robotnik; แปลว่า คนงาน); ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ใต้ดินของฝ่ายสังคมนิยม รวมถึงเป็นหนึ่งในบรรณาธิการนักเขียน (chief writer) และช่างเรียงพิมพ์ของพรรค[6][14][25][26] ใน ค.ศ. 1895 ปิวซุตสกีกลายเป็นผู้นำพรรคสังคมนิยมโปแลนด์ เขาได้ส่งเสริมจุดยืนที่ว่าประเด็นทางทฤษฎีสังคมนิยมมีความสําคัญเล็กน้อย และอุดมการณ์สังคมนิยมควรรวมเข้ากับอุดมการณ์ชาตินิยม เพราะการรวมกันนี้จะทำให้การฟื้นฟูเอกราชของโปแลนด์มีโอกาสสูงมากขึ้น[14]

ภาพถ่ายชายหนุ่มที่มองไปด้านซ้าย
ปิวซุตสกีใน ค.ศ. 1899

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1899 ขณะเป็นสมาชิกขององค์กรใต้ดิน ปิวซุตสกีได้แต่งงานกับมาเรีย ยุชกีแยวิตชอวา (née กอปแลฟสกา) สหายนักสังคมนิยม[27][28][29] Wacław Jędrzejewicz ผู้เขียนชีวประวัติของเขากล่าวว่าการแต่งงานนี้เป็นเพียงเพื่อผลประโยชน์มากกว่าความรัก Robotnik's printing press was housed in their apartment first in Vilnius, then in Łódź. A pretext of regular family life made them less suspect. Also, Russian law protected a wife from prosecution for the illegal activities of her husband.[30] The marriage deteriorated when, several years later, Piłsudski began an affair with a younger socialist,[24] Aleksandra Szczerbińska. Maria died in 1921; in October that year, Piłsudski married Aleksandra. By then, the couple had two daughters, Wanda and Jadwiga.[31]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1900 Piłsudski was imprisoned at the Warsaw Citadel when Russian authorities found Robotnikแม่แบบ:'s underground printing press in Łódź. He feigned mental illness in May 1901 and escaped from a mental hospital at Saint Petersburg with the help of a Polish physician, Władysław Mazurkiewicz, and others. He fled to Galicia, then part of Austria-Hungary, and thence to Leytonstone in London, staying with Leon Wasilewski and his family.[6]

แยก 2[แก้]

  1. Hetherington 2012, p. 92.
  2. Bianchini, Stefano (2017-09-29). Liquid Nationalism and State Partitions in Europe (ภาษาอังกฤษ). Edward Elgar Publishing. p. 30. ISBN 978-1-78643-661-0.
  3. Jędrzejewicz 1990, p. 3.
  4. Hetherington 2012, p. 95.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ POleksa04
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 6.7 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ PolandGov
  7. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_13-5
  8. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Lerski96_439
  9. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Davies05_40
  10. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ BidJef98_186
  11. Reddaway, William Fiddian (1939). Marshal Pilsudski (ภาษาอังกฤษ). Routledge. p. 5.
  12. Roshwald 2001, p. 36.
  13. 13.0 13.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ McM03_208
  14. 14.0 14.1 14.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ PWN
  15. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ICRAP
  16. 16.0 16.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_50
  17. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ LandauDunlop30_30
  18. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_62-6
  19. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_68-9
  20. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_74–7
  21. Jędrzejewicz & Cisek 1994, p. 13.
  22. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_71
  23. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_88
  24. 24.0 24.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ McM03_209
  25. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Urbank97_93
  26. Piłsudski 1989, p. 12.
  27. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Alabrud99_99
  28. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Garlicki195_63
  29. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Pobog-Ma90_7
  30. Jędrzejewicz 1990, pp. 27–8 (1982 ed.).
  31. Drążek, Aleksandra (8 August 2021). "Córki Piłsudskiego - co wiemy o losach córek marszałka". kronikidziejow.pl. สืบค้นเมื่อ 6 September 2021.