ความหลงตนเอง
ความหลงตนเอง[1] (อังกฤษ: narcissism ; กลุ่มคนที่มีอาการนี้เรียกว่า นาร์ซิสซิสต์ (narcissist)[2]) เป็นรูปแบบบุคลิกภาพที่มุ่งเน้นตนเอง ลักษณะเด่นคือการหมกมุ่นอยู่กับตนเองและความต้องการของตนเองอย่างมาก มักจะเสียสละคนอื่นเพื่อตนเอง[3][4] แสวงหาความพึงพอใจจากความทะนงตนหรือการยกย่องว่าตนสำคัญกว่าผู้อื่น ความหลงตนเองเป็นแนวคิดของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theory)ซึ่งถูกแนะนำอย่างแพร่หลายจากเรียงความของซีคมุนท์ ฟร็อยท์ ที่ชื่อ ออน นาร์ซิสซิซึม (On Narcissism) (1914) โดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้จัดรายการหมวดความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองลงใน คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลจากแนวคิดทางประวัติศาสตร์ของอาการเมกะโลเมเนีย (megalomania)[nb 1]
ความหลงตนเองมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ระดับปกติไปจนถึงการแสดงออกของ บุคลิกภาพผิดปกติ [8] แม้ว่านักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่าความหลงตนเองในระดับปานกลางเป็น เรื่องปกติและมีสุขภาพดี ในมนุษย์ แต่ก็มีรูปแบบที่รุนแรงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากเกินไป หรือมีโรคทางจิตเวช เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (NPD) ซึ่งความหลงตัวเองกลายเป็นอาการทางจิตวิทยา[8][9] ทำให้เกิดการบกพร่องในการทำงานและ จิตสังคม [10]
ความหลงตนเองยังถูกยกให้เป็นปัญหาทางด้านสังคมหรือวัฒนธรรม ทั้งใช้เป็นปัจจัยในทฤษฎีลักษณะอุปนิสัย (trait theory) ซึ่งใช้ในการสร้างแบบทดสอบบุคลิกภาพต่าง ๆ เช่น แบบทดสอบมิลลอน คลินิคัล มัลติแอกเซียล อินเวนทอรี (Millon Clinical Multiaxial Inventory) อีกทั้งเป็นหนึ่งในบุคลิกด้านมืดสามประการ (dark triad) (ซึ่งอีกสองอย่างคือ ไซโคพาท และ แมเคียเวลเลียนิซึม) และความหลงตนเองซึ่งยกเว้นการหลงตนเองในระยะเบื้องต้นหรือการรักตัวเอง มักถูกยกให้เป็นปัญหาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่ม
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
[แก้]คำว่า ความหลงตัวเอง (narcissism) มาจาก นาร์ซิสซัส ตัวละครในตำนานกรีก ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการเล่าเรื่องในบทกวีของ ออวิด กวีชาวโรมัน เรื่อง เมทามอร์โฟซีส เขียนขึ้นในปี 8 ค.ศ. บทที่ 3 ของบทกวีเล่าเรื่องราวในตำนานของชายหนุ่มรูปงาม นาร์ซิสซัส ที่ปฏิเสธความรักจากหลาย ๆ คน เมื่อนาร์ซิสซัสปฏิเสธนางไม้ เอคโค่ ซึ่งถูกสาปให้เลียนแบบเสียงของคนอื่นเท่านั้น เทพเจ้าจึงลงโทษนาร์ซิสซัสด้วยการทำให้เขารักตัวเองในเงาสะท้อนของน้ำ เมื่อนาร์ซิสซัสรู้ว่าคนที่เขารักไม่สามารถตอบรักได้ เขาก็ค่อย ๆ เสียใจและตายไป[11]
แนวคิดของ ความเห็นแก่ตัว ที่มากเกินไปได้รับการยอมรับมาตลอดประวัติศาสตร์ ในสมัยกรีกโบราณ แนวคิดนี้ถูกเข้าใจว่าคือ ความเย่อหยิ่ง [12] บางลัทธิทางศาสนา เช่น ฮัสไซต์ พยายามแก้ไขสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นวัฒนธรรมที่แตกสลายและหลงตัวเองในศตวรรษที่ผ่านมา [13]
จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 19 ความหลงตัวเองจึงเริ่มถูกกำหนดในแง่จิตวิทยา[14] ตั้งแต่นั้นมา คำนี้มีความหมายแตกต่างกันอย่างมากในด้านจิตวิทยา มันถูกใช้เพื่ออธิบาย:
- การเบี่ยงเบนทางเพศ
- ขั้นตอนการพัฒนาปกติ
- อาการในโรคจิต
- ลักษณะเฉพาะในหลาย ๆ ประเภท ของความสัมพันธ์กับวัตถุ [15]
ในปี 1889 จิตแพทย์ พอล นาคเก้ และ ฮาเวล็อค เอลลิส ใช้คำว่า "ความหลงตัวเอง" (narcissism) โดยอิสระต่อกัน เพื่ออธิบายบุคคลที่ปฏิบัติต่อร่างกายของตนเองในลักษณะเดียวกับที่ร่างกายของคู่ครองทางเพศมักจะได้รับ ความหลงตัวเองในบริบทนี้ถูกมองว่าเป็นการเบี่ยงเบนทางเพศที่ครอบงำชีวิตทางเพศของบุคคลทั้งหมด[14] ในปี 1911 ออตโต้ แรงค์ ได้ตีพิมพ์เอกสารทางคลินิกฉบับแรกเกี่ยวกับความหลงตัวเอง โดยเชื่อมโยงกับความเย่อหยิ่งและการชื่นชมตนเอง [16][14]
ในปี 1913 ในบทความเรื่อง "คอมเพล็กซ์ของพระเจ้า" (The God complex) เออร์เนสต์ โจนส์ ได้พิจารณาความหลงตัวเองในระดับสูงสุดเป็นลักษณะนิสัย เขาระบุว่า คนที่มีคอมเพล็กซ์ของพระเจ้าเป็นคนเย็นชา เห็นตัวเองสำคัญ, มั่นใจในตัวเองมากเกินไป อัตตานิยม เข้าถึงยาก ชื่นชมตนเอง และชอบอวด โดยมีความคิดเพ้อฝันเรื่องอำนาจทุกอย่างและรู้ทุกอย่าง เขาสังเกตเห็นว่าคนเหล่านี้มีความต้องการที่จะไม่เหมือนใครสูงมาก [17][18][19]
ซีคมุนท์ ฟร็อยท์ (1914) ได้ตีพิมพ์ทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับความหลงตัวเองในบทความยาวเรื่อง "เกี่ยวกับความหลงตัวเอง: บทนำ" (On Narcissism: An Introduction) สำหรับฟร็อยด์ ความหลงตัวเองหมายถึงการที่บุคคลมุ่งเน้น แรงขับทางเพศ (Libido) ไปที่ตัวเองแทนที่จะเป็นวัตถุและผู้อื่น[20] เขาตั้งสมมติฐานว่ามี "ความหลงตัวเองเบื้องต้น" ที่เป็นสากล ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการพัฒนาทางเพศในช่วงแรกของวัยทารก - เป็นขั้นตอนกลางที่จำเป็นระหว่างอัตตานิยมและความรักในวัตถุ ความรักต่อผู้อื่น ส่วนหนึ่งของ 'การรักตัวเอง' หรือ อัตตานิยมจะถูกแสดงออกไปข้างนอก หรือ "ปล่อยออก" ไปยังผู้อื่นในขั้นตอนการพัฒนาในภายหลัง สมมติฐานของฟร็อยด์เกี่ยวกับ "ความหลงตัวเองรอง" เกิดขึ้นจากการสังเกตธรรมชาติที่แปลกประหลาดของความสัมพันธ์ของคนเป็นโรคจิตเภทกับตัวเองและโลก เขาสังเกตเห็นว่าคุณสมบัติพื้นฐานสองประการของผู้ป่วยดังกล่าวคือความรู้สึกยิ่งใหญ่และการถอนตัวออกจากโลกแห่งความจริงของผู้คนและสิ่งของ: "ความใคร่ที่ถอนออกจากโลกภายนอกถูกนำไปสู่ ego และทำให้เกิดทัศนคติที่อาจเรียกว่าความหลงตัวเอง" [21][22] มันเป็นความหลงตัวเองรอง เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นการขยายขนาดของสภาพที่มีอยู่แล้ว (ความหลงตัวเองเบื้องต้น)
ในปี 1925 โรเบิร์ต วาลเดอร์ ได้กำหนดความหลงตัวเองเป็นลักษณะนิสัย คำจำกัดความของเขาระบุบุคคลที่เย่อหยิ่ง รู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น หมกมุ่นอยู่กับการชื่นชม และแสดงออกถึงการขาดความเห็นอกเห็นใจ [23] ผลงานและกรณีศึกษาของวาลเดอร์มีอิทธิพลต่อการกำหนดความหลงตัวเองและความผิดปกติทางคลินิกที่เรียกว่า ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองในปัจจุบัน ผู้ป่วยของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จ มีทัศนคติเหนือกว่า หมกมุ่นอยู่กับการสร้างความเคารพตนเอง และขาดความรู้สึกผิดปกติ ผู้ป่วยนั้นเย่อหยิ่งและเป็นอิสระจากผู้อื่น ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น และเห็นแก่ตัวทางเพศ ผู้ป่วยของวาลเดอร์ยังมีความคิดเชิงตรรกะและการวิเคราะห์มากเกินไป และให้คุณค่ากับความคิดทางปัญญาที่เป็นนามธรรมมากกว่าการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในทางปฏิบัติ[24]
คาเรน ฮอร์นีย์ (1939) ได้ตั้งสมมติฐานว่าความหลงตัวเองอยู่ในสเปกตรัมที่ครอบคลุมตั้งแต่ความนับถือตนเองที่ดีต่อสุขภาพไปจนถึงสภาวะทางพยาธิวิทยา [23]
คำนี้เข้าสู่ จิตสำนึกทางสังคม ที่กว้างขึ้นหลังจากการตีพิมพ์ วัฒนธรรมแห่งความหลงตัวเอง (The Culture of Narcissism) โดย คริสโตเฟอร์ ลาช ในปี 1979 [25] นับตั้งแต่นั้นมา สื่อสังคมออนไลน์ บล็อกเกอร์ และนักเขียนหนังสือช่วยเหลือตนเองได้นำคำว่า "ความหลงตัวเอง" [26] มาใช้โดยไม่เลือกปฏิบัติเป็นฉลากสำหรับคนที่เห็นแก่ตัวและสำหรับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวทั้งหมด [27][28]
ลักษณะและสัญญาณ
[แก้]—อะเล็กซานเดอร์ โลเวน อธิบายการดำรงอยู่ของนาร์ซิสซิสต์[29]
ตัวแปรบุคลิกภาพของนาร์ซิสซิสต์แบ่งเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ ความเป็นผู้นำ/การมีอำนาจ ความเหนือกว่า/ความทะนงตน ความหมกมุ่นอยู่แต่ตนเอง/การยกยอตนเอง และการหาผลประโยชน์/การมีสิทธิ์[30]
7 พฤติกรรมร้ายแรงของความหลงตนเอง
[แก้]จิตแพทย์แฮตช์คิสส์และเจมส์ เอฟ. มาสเตอร์สัน ระบุสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า 7 พฤติกรรมร้ายแรงของความหลงตนเอง ไว้ดังต่อไปนี้[31]
- ความไม่ละอาย (Shamelessness): นาร์ซิสซิสมักภูมิใจในความไม่ละอายอย่างเปิดเผย คือ พวกเขาไม่ผูกอารมณ์ไปกับความต้องการและความปราถนาของผู้อื่น นาร์ซิสซิสต์เกลียดความอับอายขายหน้า เพราะมันหมายถึงพวกเขาไม่สมบูรณ์แบบและต้องเปลี่ยนแปลง นาร์ซิสซิสต์ชอบความรู้สึกผิดมากกว่าความอับอาย เพราะความรู้สึกผิดสามารถทำให้พวกเขาแยกระหว่างการกระทำกับเจตนาออกจากกันได้ ตัวอย่างเช่น ถึงแม้การกระทำอาจจะผิด แต่ทำไปเพราะมีเจตนาที่ดี
- ความคิดเชิงไสยศาสตร์ (Magical thinking): นาซิสซิสต์เห็นตนเองเป็นคนที่สมบูรณ์แบบโดยใช้การบิดเบือนและสร้างสิ่งลวงตาที่เรียกว่าความคิดเชิงไสยศาสตร์ อีกทั้งพวกเขายังใช้ในการป้องกันตนเพื่อ "โยน" ความอับอายขายหน้าไปสู่ผู้อื่น
- ความทะนงตน (Arrogance): นาร์ซิสซิสต์ที่รู้สึกว่ากำลังสูญเสียความสำคัญ อาจ "เพิ่มความมั่นใจในความคิดที่ว่าตนเองสำคัญ" โดยการกดผู้อื่นให้ต่ำลง ลดคุณค่าของผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นอับอายขายหน้า
- ความอิจฉาริษยา (Envy): นาร์ซิสซิสต์อาจคงไว้ซึ่งความคิดที่ว่าตนเหนือกว่าผู้อื่นโดยการดูถูกเหยียดหยามหรือดูถูกความสำเสร็จของผู้อื่น
- การมีสิทธิ์ (Entitlement): นาซิสซิสต์ยึดถือความคาดหวังซึ่งไม่สมเหตุสมที่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติตัวเป็นอย่างดีกับพวกเขาและเชื่อฟังทุกสิ่งอย่าง เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขานั้นพิเศษ ซึ่งถ้าหากใครไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกตอกกลับด้วยความเหนือกว่าของพวกเขาและจะถือว่าเป็นบุคคล "ที่สร้างปัญหา" หรือ "หัวแข็ง" อีกทั้งการต่อต้านจะเป็นการทำให้พวกเขาเสียความมั่นใจ อันก่อให้เกิดบาดแผลจากความหลงตนเอง (narcissistic injury) จนกลายเป็นความคลั่งจากความหลงตนเอง (narcissistic rage) ในที่สุด
- การหาผลประโยชน์ (Exploitation): สามารถมาได้ในหลายรูปแบบ แต่มักจะเกี่ยวข้องกับการหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกหรือความสนใจของคนเหล่านั้น ซึ่งผู้นั้นมักตกอยู่ในตำแหน่งที่ต้องยอมจำนนเนื่องมาจากเป็นการยากที่จะต่อต้าน ทำให้ในบางครั้งผู้จำนนต้องยอมเพียงแค่การแสร้งทำ การหาผลประโยชน์นี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ไม่ยืนยาวและจบไปอย่างรวดเร็ว
- การไม่รู้ขอบเขตการปฏิบัติตน (Bad boundaries): นาร์ซิสซิสต์ไม่รู้ถึงขอบเขตในการกระทำของตน ทำให้ผู้อื่นตีตัวออกห่างและไม่ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ใครก็ตามที่สนองความหลงตนเอง (narcissistic supply) แก่นาร์ซิสซิสต์จะถูกปฏิบัติตนเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของพวกเขาและถูกคาดหวังให้เป็นไปตามความคาดหวังของพวกเขา ภายในจิตใจของนาร์ซิสซิสนั้นไม่มีขอบเขตการปฏิบัติตัวระหว่างตนเองและผู้อื่น
การสนองความหลงตนเอง
[แก้]การสนองความหลงตนเอง (narcissistic supply) เป็นแนวคิดหนึ่งที่ถูกเสนอในทฤษฎีจิตวิเคราะห์โดยออตโต เฟนิเชล ในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งอธิบายถึงลักษณะความชื่นชมยินดี การสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือการดำรงชีพไว้โดยบุคคลต่อสิ่งแวดล้อมและจำเป็นต่อความภาคภูมิใจในตนเอง[32] โดยทั่วไปแล้วคำนี้มักใช้ในแง่ลบในการอธิบายบุคคลที่ควบคุมพฤติกรรมตนเองไม่ได้จนก่อให้เกิดความต้องการความสนใจหรือความชื่นชมยินดีที่ขึ้นกับผู้อื่นมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึก ความคิดเห็น หรือความชอบของผู้อื่นเลย[33]
บาดแผลและความคลั่งจากความหลงตนเอง
[แก้]ความคลั่งจากความหลงตนเอง (narcissistic rage) เป็นปฏิกิรินาที่เกิดจากบาดแผลความหลงตนเอง (narcissistic injury) ซึ่งเป็นการคุกคามความภาคภูมิใจในตนเองหรือการมีคุณค่าของตนเองที่นาร์ซิสซิสต์สามารถรับรู้ได้ โดยคำว่า บาดแผลความหลงตนเอง and แผลเป็นความหลงตนเอง เป็นคำที่ถูกใช้โดยซีคมุนท์ ฟร็อยท์ในปี ค.ศ. 1920s[34]
ส่วนคำว่า ความคลั่งจากความหลงตนเอง ถูกคิดขึ้นมาโดยไฮนซ์ โคฮุตในปี ค.ศ. 1972 โดยบอกว่าความคลั่งจากความหลงตนเองจะเกิดขึ้นเมื่อผู้นั้นแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการแสดงออกถึงความรำคาญอย่างชัดเจน เป็นการระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง และรวมไปถึงการใช้ความรุนแรงอีกด้วย[35]
ปฎิกิริยาความคลั่งจากคความหลงตนเองไม่จำกัดอยู่แค่ในความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ยังปรากฏอยู่ในคาตาโทเนีย โรคหลงผิด และภาวะซึมเศร้า[35] มีการเสนอว่านาร์ซิสซิสต์มีความคลั่งอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับแรกเป็นความคิดโกรธที่แน่วแน่ต่อผู้อื่น และระดับที่สองเป็นความโกรธแค้นตัวเอง[36]
คุณสมบัติ
[แก้]ระดับความหลงตัวเองปกติและดีต่อสุขภาพ
[แก้]นักจิตวิทยาบางคนแนะนำว่าระดับความหลงตัวเองในระดับปานกลางมีส่วนสนับสนุนสุขภาพจิตที่ดี ความนับถือตนเองทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างความหลงตัวเองและสุขภาพจิต ดังนั้น เนื่องจากคนที่มีความหลงตัวเองสูงมีความนับถือตนเองสูง ซึ่งเกิดจากการรับรู้ตนเองว่ามีความสามารถและเป็นที่ชื่นชอบ พวกเขาจึงค่อนข้างปลอดจากความกังวลและความหดหู่ [37]
ระดับความหลงตัวเองที่ทำลายล้าง
[แก้]แม้ว่าความหลงตัวเองนั้นอาจถูกมองว่าเป็นลักษณะนิสัยปกติ แต่ความหลงตัวเองในระดับสูงอาจเป็นอันตรายต่อทั้งตนเองและผู้อื่น [38][39] ความหลงตัวเองที่ทำลายล้างคือการแสดงออกอย่างต่อเนื่องของลักษณะเด่นบางอย่างที่มักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง เช่น "รูปแบบแพร่หลายของ ความรู้สึกว่าตนเขื่อง" ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือความรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิ์และเหนือกว่า พฤติกรรมที่หยิ่งยโสหรือโอหัง และการขาดความเห็นอกเห็นใจและความห่วงใยต่อผู้อื่นโดยทั่วไป [4] ในสเปกตรัม ความหลงตัวเองที่ทำลายล้างนั้นรุนแรงกว่าความหลงตัวเองแบบมีสุขภาพดี แต่ไม่รุนแรงเท่ากับสภาวะทางพยาธิวิทยา [40]
ระดับความเป็นโรคหลงตัวเอง
[แก้]ระดับความหลงตัวเองที่สูงมากถือว่าเป็น อาการทางพยาธิวิทยา [41] สภาวะทางพยาธิวิทยาของความหลงตัวเองเป็นการแสดงออกที่รุนแรงและขยายขนาดของความหลงตัวเองแบบมีสุขภาพดี มันแสดงออกมาในรูปแบบของความไม่สามารถที่จะรักผู้อื่น การขาดความเห็นอกเห็นใจ ความว่างเปล่า ความเบื่อหน่าย และความต้องการอย่างต่อเนื่องในการแสวงหาอำนาจ ในขณะที่ทำให้บุคคลนั้นไม่สามารถเข้าถึงผู้อื่นได้ [38] นักทฤษฎีทางคลินิก เคิร์นเบิร์ก, โคฮุต, และ ธีโอดอร์ มิลลอน เห็นว่าความหลงตัวเองแบบทางพยาธิวิทยาเป็นผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในการตอบสนองต่อปฏิสัมพันธ์ในช่วงวัยเด็กที่ขาดความเห็นอกเห็นใจและไม่สอดคล้องกัน พวกเขาแนะนำว่าคนที่มีความหลงตัวเองพยายามชดเชยในความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่ [42] นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน คาเรน ฮอร์นีย์ (1885–1952) ก็มองว่าบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองเป็นลักษณะนิสัยที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมในช่วงต้น [43]
ความสามารถในการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
[แก้]การศึกษา อัตราพันธุกรรม โดยใช้ฝาแฝดแสดงให้เห็นว่าลักษณะนิสัยแบบหลงตัวเอง ซึ่งวัดโดยการทดสอบมาตรฐาน มักจะถ่ายทอดทางพันธุกรรม [44] พบว่าความหลงตัวเองมีคะแนนอัตราพันธุกรรมสูง (0.64) ซึ่งบ่งชี้ว่า ความสอดคล้อง ของลักษณะนี้ในฝาแฝดเหมือนกันนั้นได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่ามีสเปกตรัมหรือช่วงของลักษณะนิสัยแบบหลงตัวเอง ตั้งแต่ปกติไปจนถึงบุคลิกภาพแบบทางพยาธิวิทยา [45][46] ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานแสดงให้เห็นว่าองค์ประกอบแต่ละอย่างของความหลงตัวเองมีคะแนนอัตราพันธุกรรมของตัวเอง ตัวอย่างเช่น ความรู้สึกว่าตนเขื่อง ภายในบุคคลมีคะแนน 0.23 และ สิทธิ ในการติดต่อกับผู้อื่นมีคะแนน 0.35 [47] แม้ว่าผลกระทบทางพันธุกรรมต่อระดับความหลงตัวเองจะมีนัยสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีบทบาท
การแสดงออกของความหลงตัวเอง
[แก้]รูปแบบโดยทั่วไป
[แก้]มีการระบุรูปแบบการแสดงออกของความหลงตัวเองสองแบบหลัก ได้แก่ แบบโอ้อวด ("ผิวหนา") และแบบอ่อนไหว ("ผิวบาง") รายงานล่าสุดระบุว่าแก่นแท้ของความหลงตัวเองคือการต่อต้านที่มุ่งเน้นตนเอง (หรือ "ความสำคัญตนเองที่เป็นสิทธิ์") โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเห็นแก่ตัว การรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิ์ การขาดความเห็นอกเห็นใจ และการดูถูกผู้อื่น [48] ความรู้สึกว่าตนเขื่องและความอ่อนไหวถูกมองว่าเป็นการแสดงออกที่แตกต่างกันของแก่นแท้ที่ต่อต้านนี้ ซึ่งเกิดจากความแตกต่างของแต่ละบุคคลในความแข็งแกร่งของระบบแรงจูงใจในการเข้าหาและหลีกเลี่ยง [49]
ยิ่งใหญ่อลังการ
[แก้]เชื่อว่าความรู้สึกว่าตนเขื่องแบบหลงตัวเองเกิดจากการผสมผสานของแก่นแท้ที่ต่อต้านกับความกล้าหาญทางอารมณ์—ซึ่งกำหนดโดยอารมณ์เชิงบวก การครอบงำทางสังคม การแสวงหาผลตอบแทน และการเสี่ยง ความรู้สึกว่าตนเขื่องถูกกำหนด—นอกเหนือจากการต่อต้าน—โดยรูปแบบการควบคุมตนเองที่มั่นใจ ชอบอวด และชอบชักจูง: [49]
- ความนับถือตนเองสูง ความรู้สึกชัดเจนว่าตัวเองไม่เหมือนใครและเหนือกว่าผู้อื่น พร้อมทั้งจินตนาการถึงความสำเร็จและอำนาจ และความทะเยอทะยานอันสูงส่ง
- พลังทางสังคม โดยมีลักษณะเด่นคือ การแสดงออก การเป็นผู้มีอำนาจ การมีเสน่ห์ดึงดูด และการส่งเสริมตนเองในด้านการติดต่อกับผู้อื่น
- พฤติกรรมแบบเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวในความสัมพันธ์ การติดต่อสื่อสารแบบระยะสั้น ซึ่งถูกกำหนดโดยการชักจูง และการให้สิทธิพิเศษกับผลประโยชน์ส่วนตัวเหนือผลประโยชน์อื่น ๆ ของการเข้าสังคม
เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
[แก้]ความหลงตัวเองแบบอ่อนไหว เชื่อว่าเกิดจากการผสมผสานของแก่นแท้ที่ต่อต้านกับการตอบสนองทางอารมณ์ ซึ่งกำหนดโดยอารมณ์เชิงลบ การหลีกเลี่ยงสังคม ความเฉื่อยชา และความโน้มเอียงอย่างมากต่อความโกรธ ความอ่อนไหวถูกกำหนด—นอกเหนือจากการต่อต้าน—โดยรูปแบบการควบคุมตนเองที่ขี้อาย ชอบแก้แค้น และต้องการความช่วยเหลือ: [49]
- ความนับถือตนเองต่ำและขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับตนเอง และความอิจฉาริษยาต่อความสำเร็จของผู้อื่น
- การถอนตัวจากสังคม เกิดจากความอับอาย การไม่ไว้ใจเจตนาของผู้อื่น และความกังวลเกี่ยวกับการได้รับการยอมรับ
- พฤติกรรมแบบต้องการความช่วยเหลือ หมกมุ่นอยู่กับความสัมพันธ์ การติดต่อสื่อสารแบบระยะยาว ซึ่งถูกกำหนดโดยความต้องการชื่นชม การยอมรับ และการสนับสนุนมากเกินไป และการแก้แค้นเมื่อความต้องการไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
สำนวนอื่น ๆ
[แก้]ทางเพศ
[แก้]ความหลงตัวเองทางเพศ ถูกอธิบายว่าเป็นรูปแบบการแสดงออกทางเพศที่ เห็นแก่ตัว ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่มากเกินไปเกี่ยวกับความสามารถทางเพศหรือการรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิ์ทางเพศ บางครั้งก็อยู่ในรูปแบบของการนอกใจ สิ่งนี้สามารถเป็น การชดเชยมากเกินไป สำหรับความนับถือตนเองต่ำหรือความไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแท้จริงได้ [50]
แม้ว่ารูปแบบพฤติกรรมนี้เชื่อว่าพบได้บ่อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิง [51][52] แต่ก็เกิดขึ้นในทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ชดเชยความรู้สึกด้อยทางเพศโดยการภาคภูมิใจในตัวเองมากเกินไปหรือหมกมุ่นอยู่กับ ความเป็นชาย หรือความเป็นหญิง [53]
สภาวะที่เป็นที่ถกเถียงกัน ซึ่งเรียกว่า "การติดเซ็กส์" นั้น ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าเป็นความหลงตัวเองทางเพศหรือการบังคับทางเพศ มากกว่าพฤติกรรมติดยาเสพติด [54]
ผู้ปกครอง
[แก้]พ่อแม่ที่หลงตัวเองมักจะมองเห็นลูกของตนเป็นส่วนขยายของตัวเอง และกระตุ้นให้ลูกแสดงออกในแบบที่สนับสนุนความต้องการทางอารมณ์และความนับถือตนเองของพ่อแม่ [55] เนื่องจากความอ่อนไหว เด็กอาจได้รับผลกระทบอย่างมากจากพฤติกรรมนี้ [56] เพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ เด็กอาจต้องเสียสละความต้องการและความรู้สึกของตนเอง [57] เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบนี้ อาจต้องดิ้นรนในวัยผู้ใหญ่กับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของตนเอง
ในสถานการณ์ที่รุนแรง รูปแบบการเลี้ยงดูแบบนี้สามารถส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับลูก ควบคู่ไปกับความรู้สึกเคียดแค้น และในบางกรณี แนวโน้มการทำลายตนเอง [55]
ต้นกำเนิดของความหลงตัวเองในเด็ก มักจะมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเสนอว่าพฤติกรรมทางสังคมนั้นเรียนรู้ได้จากการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กคาดว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนหลงตัวเองเมื่อพ่อแม่ให้คุณค่ากับพวกเขามากเกินไป [58]
สถานที่ทำงาน
[แก้]มีความจำเป็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญบางคนที่จะต้องยืนยันความสามารถของตนเองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกเขาจะผิด [59][60] ความหลงตัวเองในสายอาชีพ สามารถนำไปสู่กับดักความหลงตัวเองสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ และแม้กระทั่งยอดเยี่ยม "ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับการปลูกฝังความรู้สึกตัวเองที่แสดงออกถึงความมีอำนาจ การควบคุม ความรู้ ความสามารถ และความน่าเชื่อถือ นั่นคือความหลงตัวเองในตัวเราทุกคน—เรากลัวที่จะดูโง่หรือไม่สามารถทำงานได้" [59]
ผู้บริหารมักจะได้รับสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดความหลงตัวเอง สิ่งกระตุ้นที่ไม่มีชีวิต ได้แก่ สัญลักษณ์แสดงฐานะ เช่น รถยนต์ของบริษัท สมาร์ทโฟน ที่บริษัทจัดให้ หรือสำนักงานที่มีชื่อเสียงพร้อมวิวหน้าต่าง สิ่งกระตุ้นที่เป็นชีวิต ได้แก่ การประจบสอพลอ และ ความใส่ใจ จากเพื่อนร่วมงานและลูกน้อง [61]: 143
ความหลงตัวเองถูกเชื่อมโยงกับปัญหาความเป็นผู้นำที่อาจเกิดขึ้นได้มากมาย ตั้งแต่ทักษะการสร้างแรงจูงใจที่ไม่ดีไปจนถึงการตัดสินใจที่เสี่ยง และในกรณีที่รุนแรง การกระทำความผิดอาญาในระดับชั้นผู้บริหาร [62] ผู้นำองค์กรที่มีชื่อเสียงที่เน้น กำไร มากเกินไป อาจส่งผลดีในระยะสั้นสำหรับองค์กรของพวกเขา แต่ท้ายที่สุดมันจะทำให้พนักงานแต่ละคน รวมถึงทั้งบริษัท ตกต่ำ [63]
ลูกน้องอาจพบว่าการเสนอความช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน ทำให้พวกเขากลายเป็นแหล่งสนับสนุน เว้นแต่พวกเขาจะระมัดระวังมากในการรักษาขอบเขตที่เหมาะสม [61]: 143, 181
การศึกษาที่ตรวจสอบบทบาทของบุคลิกภาพในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสามารถอธิบายได้ว่าเป็นผู้ครอบงำในด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผย และมีทักษะทางสังคม [62] เมื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ของความหลงตัวเองในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ คนที่มีความหลงตัวเอง ซึ่งมักจะเป็นผู้ครอบงำในด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผย และมีทักษะทางสังคม ก็มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ แต่มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เป็นที่รู้จัก เช่น การจ้างงานจากภายนอก (เทียบกับการเลื่อนตำแหน่งภายใน) อย่างน่าแปลกใจ ความหลงตัวเองสามารถแสดงออกเป็นลักษณะที่ช่วยให้บุคคลก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ และท้ายที่สุดนำไปสู่การประสบความสำเร็จไม่ถึงเป้าหมาย หรือแม้กระทั่งล้มเหลว [62]
ความหลงตัวเองยังสามารถสร้างปัญหาในกำลังแรงงานทั่วไป ตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีคะแนนความหลงตัวเองสูง มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ขัดต่อผลผลิต ซึ่งเป็นอันตรายต่อองค์กรหรือบุคคลอื่น ๆ ในที่ทำงาน [64] พฤติกรรมก้าวร้าว (และขัดต่อผลผลิต) มีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นเมื่อความนับถือตนเองถูกคุกคาม [65][66] บุคคลที่มีความหลงตัวเองสูง มีความนับถือตนเองที่เปราะบาง และง่ายต่อการถูกคุกคาม การศึกษาหนึ่งพบว่าพนักงานที่มีความหลงตัวเองสูง มีแนวโน้มที่จะมองเห็นพฤติกรรมของผู้อื่นในที่ทำงานว่าเป็นการล่วงละเมิดและคุกคาม มากกว่าบุคคลที่มีความหลงตัวเองต่ำ [67]
คนดัง
[แก้]ความหลงตัวเองของคนดัง (บางครั้งเรียกว่า ความหลงตัวเองตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น) เป็นรูปแบบหนึ่งของความหลงตัวเอง ซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงปลายวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ เกิดจากความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ คนดัง ความหลงตัวเองของคนดังพัฒนาขึ้นหลังจากวัยเด็ก และถูกกระตุ้นและได้รับการสนับสนุนจากสังคมที่หมกมุ่นอยู่กับคนดัง แฟน ๆ ผู้ช่วย และสื่อแท็บลอยด์ ต่างก็มีส่วนทำให้เกิดความคิดที่ว่าบุคคลนั้นมีความสำคัญมากกว่าคนอื่น ๆ อย่างมาก ซึ่งกระตุ้นปัญหาความหลงตัวเอง ซึ่งอาจเป็นเพียงแนวโน้ม หรือแฝงอยู่ และช่วยให้มันกลายเป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพอย่างเต็มรูปแบบ "โรเบิร์ต มิลแมน กล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนดัง คือพวกเขามีคนมองอยู่มากจนพวกเขาเลิกมองคนอื่น" [68] ในรูปแบบการแสดงออกและอาการที่รุนแรงที่สุด มันไม่แตกต่างจาก ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง แตกต่างกันเพียงแค่การเริ่มต้นในช่วงปลาย และการสนับสนุนจากสิ่งแวดล้อมโดยแฟน ๆ จำนวนมาก "การขาดบรรทัดฐานทางสังคม การควบคุม และการที่คนอื่นไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา ทำให้คนเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขามีภูมิคุ้มกัน" [68] ดังนั้นบุคคลนั้นอาจประสบปัญหาในความสัมพันธ์ การใช้สารเสพติด หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติ
บุคลิกด้านมืดสามประการ
[แก้]ความหลงตัวเองเป็นหนึ่งในสามลักษณะในแบบจำลอง บุคลิกด้านมืดสามประการ ร่วมกับ ไซโคพาท และ แมคคิเวลเลียน [69][70] ความหลงตัวเองถูกเชื่อมโยงกับทั้งสองลักษณะ แม้ว่านักจิตวิทยาเช่น เดลรอย พอลฮุส และ เควิน วิลเลียม จะเห็นหลักฐานเพียงพอว่ามันเป็นลักษณะที่แตกต่างกัน [71]
ความหลงตัวเองเป็นหนึ่งในสามลักษณะในแบบจำลอง บุคลิกด้านมืดสามประการ ร่วมกับ ไซโคพาท และ แมคคิเวลเลียน [72][73] ความหลงตัวเองถูกเชื่อมโยงกับทั้งสองลักษณะ แม้ว่านักจิตวิทยาเช่น เดลรอย พอลฮุส และ เควิน วิลเลียม จะเห็นหลักฐานเพียงพอว่ามันเป็นลักษณะที่แตกต่างกัน [74]
ข้อโต้แย้ง
[แก้]ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความสนใจในความหลงตัวเอง และความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (NPD) เพิ่มขึ้น [75] มีสาขาการถกเถียงอย่างมาก ที่ล้อมรอบเรื่องนี้ รวมถึง:
- การกำหนดความแตกต่างระหว่างความหลงตัวเองแบบปกติ และแบบทางพยาธิวิทยา ให้ชัดเจน [75]
- การทำความเข้าใจบทบาทของความนับถือตนเอง ในความหลงตัวเอง [75]
- การบรรลุฉันทามติ เกี่ยวกับการจำแนกประเภท และคำจำกัดความของประเภทย่อย เช่น "มิติแบบโอ้อวด" และ "มิติแบบอ่อนไหว" หรือรูปแบบต่าง ๆ ของสิ่งเหล่านี้ [75]
- การทำความเข้าใจว่าอะไรคือคุณสมบัติ/ลักษณะ ที่สำคัญ เทียบกับ ที่ไม่สำคัญ คุณสมบัติ/ลักษณะ หลัก เทียบกับ รอง ของความหลงตัวเอง
- การพิจารณาว่ามีคำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับ หรือไม่ [75]
- การตกลงกันเกี่ยวกับปัจจัย ทางสาเหตุ [75]
- การตัดสินใจว่าสาขาหรือวิชาใด ควรศึกษาความหลงตัวเอง [75]
- การตกลงกันเกี่ยวกับวิธีการประเมิน และวัด [75] และ
- การตกลงกันเกี่ยวกับการแสดงออกของมัน ในตำรา และคู่มือการจำแนกประเภท [75]
ความขัดแย้งนี้ ปรากฏให้เห็นต่อสาธารณะ ในปี 2010–2013 เมื่อคณะกรรมการเกี่ยวกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ สำหรับฉบับที่ 5 (2013) ของ คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต แนะนำให้ถอดความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง ออกจากคู่มือ การถกเถียงกันอย่างดุเดือด เป็นเวลาสามปี เกิดขึ้นในชุมชนทางคลินิก โดยหนึ่งในนักวิจารณ์ที่รุนแรงที่สุด คือ จอห์น จี กันเดอร์สัน บุคคลที่นำคณะกรรมการความผิดปกติทางบุคลิกภาพ DSM สำหรับฉบับที่ 4 ของคู่มือ [76]
ดูเพิ่ม
[แก้]- ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง
- ความร่วมรู้สึก
- ปรากฏการณ์เชื่อมั่นมากเกินไป
- ปรากฏการณ์ดันนิง–ครูเกอร์
- ภาวะหลงผิดคิดตนเขื่อง
เชิงอรรถ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Thai Word Repository คลังศัพท์ไทย โดยศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สืบค้นคำว่า narcissism)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-13. สืบค้นเมื่อ 2019-07-13.
- ↑ Cambridge English Dictionary (สืบค้นคำว่า narcissist)
- ↑ "Oxford Learner's Dictionary". oxfordlearnersdictionaries.com. Oxford University Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 June 2021. สืบค้นเมื่อ 14 September 2021.
- ↑ 4.0 4.1 "APA Dictionary of Psychology". dictionary.apa.org. American Psychological Association. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2021. สืบค้นเมื่อ 14 September 2021.
- ↑ Cambridge English Dictionary (สืบค้นคำว่า megalomania)
- ↑ Collins English Dictionary (สืบค้นคำว่า megalomania)
- ↑ "Thai Word Repository คลังศัพท์ไทย โดยศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สืบค้นคำว่า megalomania)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-13. สืบค้นเมื่อ 2019-07-13.
- ↑ 8.0 8.1 Krizan Z, Herlache AD (February 2018). "The Narcissism Spectrum Model: A Synthetic View of Narcissistic Personality". Personality and Social Psychology Review. 22 (1): 3–31. doi:10.1177/1088868316685018. PMID 28132598. S2CID 206682971.
- ↑ Nazario B (4 September 2022). Casarella J (บ.ก.). "Narcissistic Personality Disorder". webmd.com. Web MD. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 May 2020. สืบค้นเมื่อ 18 June 2020.
- ↑ Caligor E, Levy KN, Yeomans FE (May 2015). "Narcissistic personality disorder: diagnostic and clinical challenges". The American Journal of Psychiatry. 172 (5): 415–422. doi:10.1176/appi.ajp.2014.14060723. PMID 25930131.
- ↑ "Narcissus Greek mythology". britannica.com. Britanica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 June 2023. สืบค้นเมื่อ 14 September 2021.
- ↑ Berger, Joël; Osterloh, Margit; Rost, Katja; Ehrmann, Thomas (1 October 2020). "How to prevent leadership hubris? Comparing competitive selections, lotteries, and their combination". The Leadership Quarterly. 31 (5): 101388. doi:10.1016/j.leaqua.2020.101388. S2CID 219435184.
- ↑ Fudge, T.A. (2021). Matthew Spinka, Howard Kaminsky, and the Future of the Medieval Hussites. Lexington Books. p. 47. ISBN 978-1-7936-5081-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-05-09. สืบค้นเมื่อ 2023-05-09.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 Millon T, Grossman S, Millon C, Meagher S, Ramnath R (2004). Personality Disorders in Modern Life (PDF). Wile y. p. 343. ISBN 978-0-471-23734-1. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-06-04. สืบค้นเมื่อ 2018-11-07.
- ↑ Gay P (May 17, 2006). Freud: A Life for Our Time. W. W. Norton & Company. p. 340. ISBN 978-0-393-32861-5.
- ↑ Ogrodniczuk J (2013). "Historical overview of pathological narcissism. In: Understanding and Treating Pathological Narcissism". American Psychological Association: 15–26. doi:10.1037/14041-001.
- ↑ Jones E. "Essays In Applied Psychoanalysis". archive.org. Osmania University Library. สืบค้นเมื่อ 14 December 2021.
- ↑ Jones E (15 March 2007). Essays in Applied Psycho-Analysis. Lightning Source Inc. p. 472. ISBN 978-1-4067-0338-2. สืบค้นเมื่อ 2012-01-22.
- ↑ Evans N. "History of Narcissism". deepblue.lib.umich.edu. University of Michigan. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-14. สืบค้นเมื่อ 2021-12-14.
- ↑ Aleksandrowicz, Dov R. "MASTERY, AGGRESSION AND NARCISSISM : A contribution to psychoanalytic drive theory". Archives of Psychiatry and Psychotherapy (ภาษาอังกฤษ). 11 (2): 13–21. ISSN 1509-2046.
- ↑ "On Narcissism, 1914 by Freud". SigmundFreud.net. Sigmund Freud. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 August 2022. สืบค้นเมื่อ 14 December 2021.
- ↑ Strachey J. "Standard Edition of the Complete Works of Sigmund Freud" (PDF). sas.upenn.edu. University of Pennsylvania. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 August 2020. สืบค้นเมื่อ 14 December 2021.
- ↑ 23.0 23.1 Levy KN, Reynoso JS, Wasserman RH, Clarkin JF (2007). "Chapter 9, Narcissistic Personality Disorder". ใน O'Donohue WT, Fowler KA, Lilienfeld SO (บ.ก.). Personality Disorders: Toward the DSM-V. SAGE Publications, Inc. p. 235. ISBN 978-1-4129-0422-3.
- ↑ Bergmann MS (1987). Anatomy of Loving; Man's Quest to Know what Love is. Ballantine Books. ISBN 978-0-449-90553-1.
- ↑ Daum M (6 January 2011). "Narcissist -- give it a rest". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2021. สืบค้นเมื่อ 21 December 2021.
The term has been misused and overused so flagrantly that it’s now all but meaningless when it comes to labeling truly destructive tendencies.
- ↑ Pilossoph J (14 November 2019). "So, you think your spouse is a narcissist? You might not want to be so quick with the label". chicagotribune.com. Chicago Tribune. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2019. สืบค้นเมื่อ 14 November 2019.
the word is extremely overused, and I don’t think people truly understand what it means
- ↑ Gay P (May 17, 2006). Freud: A Life for Our Time. W. W. Norton & Company. p. 340. ISBN 978-0-393-32861-5.
Some in fact exploited it as a handy term of abuse for modern culture or as a loose synonym for bloated self-esteemed.
- ↑ Malkin C. "Why We Need to Stop Throwing the "Narcissist" Label Around". psychologytoday.com. Psychology Today. สืบค้นเมื่อ April 12, 2015.
The current promiscuous use of the term narcissist forevery minor instance of self-absorption, however, trivializes that very real pain.
- ↑ Lowen, Alexander (1997) [1983]. Narcissism: Denial of the True Self. New York, NY: Touchstone. p. 45.
- ↑ Horton, R. S.; Bleau, G.; Drwecki, B. (2006). "Parenting Narcissus: What Are the Links Between Parenting and Narcissism?" (PDF). Journal of Personality. 74 (2): 345–76. CiteSeerX 10.1.1.526.7237. doi:10.1111/j.1467-6494.2005.00378.x. PMID 16529580. See p. 347.
- ↑ Hotchkiss, Sandy & Masterson, James F. Why Is It Always About You?: The Seven Deadly Sins of Narcissism (2003)
- ↑ Fenichel, Otto (1938). "The Drive to Amass Wealth" (PDF). They Psychoanalytic Quarterly. 7 (1): 69–95. doi:10.1080/21674086.1938.11925342. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-11-02. สืบค้นเมื่อ 2019-12-04.
- ↑ "StackPath". www.healthyplace.com. สืบค้นเมื่อ 2019-10-10.
- ↑ Salman Akhtar, Comprehensive Dictionary of Psychoanalysis (London 2009) p. 182
- ↑ 35.0 35.1 Carl P. Malmquist (2006). Homicide: A Psychiatric Perspective. American Psychiatric Publishing, Inc. pp. 181–82. ISBN 978-1-58562-204-7.
- ↑ Vaknin, Sam, Malignant Self Love: Narcissism Revisited (1999).
- ↑ Sedikides C, Rudich EA, Gregg AP, Kumashiro M, Rusbult C (September 2004). "Are normal narcissists psychologically healthy?: self-esteem matters". Journal of Personality and Social Psychology. 87 (3): 400–416. doi:10.1037/0022-3514.87.3.400. hdl:1871/17274. PMID 15382988. S2CID 12903591. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-08-02. สืบค้นเมื่อ 2022-11-20.
- ↑ 38.0 38.1 Kohut H (1971). The Analysis of the Self. A systematic approach to the psychoanalytic treatment of narcissistic personality disorders. London: The University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-45014-8.
- ↑ Vazire, Simine; Funder, David C. (May 2006). "Impulsivity and the Self-Defeating Behavior of Narcissists". Personality and Social Psychology Review. 10 (2): 154–165. doi:10.1207/s15327957pspr1002_4. PMID 16768652. S2CID 1924100.
- ↑ Brown NW (1998). The Destructive Narcissistic Pattern. Greenwood Publishing. ISBN 978-0-275-96017-9.
- ↑ Dashineau, Samantha C.; Edershile, Elizabeth A.; Simms, Leonard J.; Wright, Aidan G. C. (September 2019). "Pathological narcissism and psychosocial functioning". Personality Disorders: Theory, Research, and Treatment. 10 (5): 473–478. doi:10.1037/per0000347. PMC 6710132. PMID 31259606.
- ↑ Morf CC, Rhodewalt F (2001). "Unraveling the Paradoxes of Narcissism: A Dynamic Self-Regulatory Processing Model". Psychological Inquiry. 12 (4): 177–96. doi:10.1207/S15327965PLI1204_1. S2CID 2004430. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-18. สืบค้นเมื่อ 2019-07-04.
- ↑ "Karen Horney: Life, Theories, and Contributions to Psychology" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-11-03. สืบค้นเมื่อ 2024-01-22.
- ↑ Luo, Y. L., & Cai, H. (2018). The etiology of narcissism: A review of behavioral genetic studies. Handbook of Trait Narcissism: Key Advances, Research Methods, and Controversies, 149-156.
- ↑ Livesley WJ, Jang KL, Jackson DN, Vernon PA (December 1993). "Genetic and environmental contributions to dimensions of personality disorder". The American Journal of Psychiatry. 150 (12): 1826–1831. doi:10.1176/ajp.150.12.1826. PMID 8238637.
- ↑ DeWall CN, Pond Jr RS, Campbell WK, Twenge JM (August 2011). "Tuning in to psychological change: Linguistic markers of psychological traits and emotions over time in popular U.S. song lyrics". Psychology of Aesthetics, Creativity, and the Arts. 5 (3): 200–207. CiteSeerX 10.1.1.684.1672. doi:10.1037/a0023195. ISSN 1931-390X.
- ↑ Luo YL, Cai H, Song H (2014-04-02). "A behavioral genetic study of intrapersonal and interpersonal dimensions of narcissism". PLOS ONE. 9 (4): e93403. Bibcode:2014PLoSO...993403L. doi:10.1371/journal.pone.0093403. PMC 3973692. PMID 24695616.
- ↑ Crowe, M. L., Weiss, B., Lynam, D. R., Campbell, W. K., & Miller, J. D. (2022). Narcissism and narcissistic personality disorder: Moving toward a trifurcated model. Journal of Personality.
- ↑ 49.0 49.1 49.2 Krizan, Z., & Herlache, A. D. (2018). The narcissism spectrum model: A synthetic view of narcissistic personality. Personality and Social Psychology Review, 22(1), 3-31.
- ↑ Hurlbert DF, Apt C (1991). "Sexual narcissism and the abusive male". Journal of Sex & Marital Therapy. 17 (4): 279–292. doi:10.1080/00926239108404352. PMID 1815094.
- ↑ Hurlbert DF, Apt C, Gasar S, Wilson NE, Murphy Y (1994). "Sexual narcissism: a validation study". Journal of Sex & Marital Therapy. 20 (1): 24–34. doi:10.1080/00926239408403414. PMID 8169963.
- ↑ Ryan KM, Weikel K, Sprechini G (2008). "Gender differences in narcissism and courtship violence in dating couples". Sex Roles. 58 (11–12): 802–13. doi:10.1007/s11199-008-9403-9. S2CID 19749572.
- ↑ Schoenewolf G (2013). Psychoanalytic Centrism: Collected Papers of a Neoclassical Psychoanalyst. Living Center Press. ISBN 978-1-4811-5541-0.
- ↑ Apt C, Hurlbert DF (1995). "Sexual Narcissism: Addiction or Anachronism?". The Family Journal. 3 (2): 103–07. doi:10.1177/1066480795032003. S2CID 143630223.
- ↑ 55.0 55.1 Rapport A (2005). "Co-Narcissism: How We Adapt to Narcissistic Parents" (PDF). The Therapist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 18 November 2017.
- ↑ Wilson S, Durbin CE (October 2012). "Dyadic parent-child interaction during early childhood: contributions of parental and child personality traits". Journal of Personality. 80 (5): 1313–1338. doi:10.1111/j.1467-6494.2011.00760.x. PMID 22433002.
- ↑ Kepner JI (1997). Body Process: A Gestalt Approach to Working with the Body in Psychotherapy. p. 73. ISBN 978-1-315-79898-1.
- ↑ Brummelman E, Thomaes S, Nelemans SA, Orobio de Castro B, Overbeek G, Bushman BJ (March 2015). "Origins of narcissism in children". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 112 (12): 3659–3662. Bibcode:2015PNAS..112.3659B. doi:10.1073/pnas.1420870112. PMC 4378434. PMID 25775577.
- ↑ 59.0 59.1 Banja JD (2004). Medical errors and medical narcissism. Sudbury, Mass.: Jones and Bartlett Publishers. ISBN 978-0-7637-8361-7.
- ↑ Banja J (7 February 2005). "John Banja: Interview with the clinical ethicist" (Interview). สัมภาษณ์โดย Rangus E. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2023. สืบค้นเมื่อ 18 November 2023.
- ↑ 61.0 61.1 DuBrin AJ (2012). Narcissism in the Workplace: Research, opinion and practice. Edward Elgar Publishing. ISBN 978-1-78100-136-3.
- ↑ 62.0 62.1 62.2 Brunell AB, Gentry WA, Campbell WK, Hoffman BJ, Kuhnert KW, Demarree KG (December 2008). "Leader emergence: the case of the narcissistic leader" (PDF). Personality & Social Psychology Bulletin. 34 (12): 1663–1676. doi:10.1177/0146167208324101. PMID 18794326. S2CID 28823065. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-05.
- ↑ Hill V (2005). Corporate Narcissism in Accounting Firms Australia. Australia: Pengus Books.
- ↑ Judge TA, LePine JA, Rich BL (July 2006). "Loving yourself abundantly: relationship of the narcissistic personality to self- and other perceptions of workplace deviance, leadership, and task and contextual performance". The Journal of Applied Psychology. 91 (4): 762–776. doi:10.1037/0021-9010.91.4.762. PMID 16834504.
- ↑ Bushman BJ, Baumeister RF (July 1998). "Threatened egotism, narcissism, self-esteem, and direct and displaced aggression: does self-love or self-hate lead to violence?". Journal of Personality and Social Psychology. 75 (1): 219–229. CiteSeerX 10.1.1.337.396. doi:10.1037/0022-3514.75.1.219. PMID 9686460. S2CID 145798157.
- ↑ Penney LM, Spector PE (2002). "Narcissism and counterproductive work behavior: Do bigger egos mean bigger problems?". International Journal of Selection and Assessment. 10 (1–2): 126–34. doi:10.1111/1468-2389.00199.
- ↑ Wislar JS, Richman JA, Fendrich M, Flaherty JA (2002). "Sexual harassment, generalized workplace abuse and drinking outcomes: The role of personality vulnerability". Journal of Drug Issues. 32 (4): 1071–88. doi:10.1177/002204260203200404. S2CID 145170557.
- ↑ 68.0 68.1 Crompton S (2007). All about me: Loving a narcissist. London: Collins. p. 171. ISBN 978-0-00-724795-0.
- ↑ Furnham, A., Richards, S. C., & Paulhus, D. L. (2013). The Dark Triad of personality: A 10 year review. Social and personality psychology compass, 7(3), 199-216.
- ↑ Jones, D. N., & Paulhus, D. L. (2014). Introducing the short dark triad (SD3) a brief measure of dark personality traits. Assessment, 21(1), 28-41.
- ↑ Jakobwitz, S., & Egan, V. (2006). The dark triad and normal personality traits. Personality and Individual differences, 40(2), 331-339.
- ↑ Furnham, A., Richards, S. C., & Paulhus, D. L. (2013). The Dark Triad of personality: A 10 year review. Social and personality psychology compass, 7(3), 199-216.
- ↑ Jones, D. N., & Paulhus, D. L. (2014). Introducing the short dark triad (SD3) a brief measure of dark personality traits. Assessment, 21(1), 28-41.
- ↑ Jakobwitz, S., & Egan, V. (2006). The dark triad and normal personality traits. Personality and Individual differences, 40(2), 331-339.
- ↑ 75.0 75.1 75.2 75.3 75.4 75.5 75.6 75.7 75.8 Miller JD, Lynam DR, Hyatt CS, Campbell WK (May 2017). "Controversies in Narcissism". Annual Review of Clinical Psychology. 13: 291–315. doi:10.1146/annurev-clinpsy-032816-045244. PMID 28301765. S2CID 207585237.
- ↑ Zanor C. "A Fate That Narcissists Will Hate: Being Ignored". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2011. สืบค้นเมื่อ 9 November 2010.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Blackburn S (2014). Mirror, Mirror: The Uses and Abuses of Self-Love. Princeton, NJ: Princeton University Press. doi:10.1515/9781400849956. ISBN 978-1-4008-4995-6.
- Brown NW (2008). Children of the Self-Absorbed: A Grown-up's Guide to Getting over Narcissistic Parents. Oakland, CA: New Harbinger Publications. ISBN 978-1-57224-561-7.
- Golomb E (1995). Trapped in the Mirror – Adult Children of Narcissists in their Struggle for Self. New York: W. Morrow. ISBN 978-0-688-14071-7.
- Hotchkiss S, Masterson JF (2003). Why Is It Always About You? : The Seven Deadly Sins of Narcissism. New York: Free Press. ISBN 978-1-4391-0653-2.
- McFarlin D (2002). Where Egos Dare: The Untold Truth About Narcissistic Leaders – And How to Survive Them. London: Kogan Page. ISBN 978-0-7494-3773-2.)
- Twenge JM, Campbell WK (April 2009). The Narcissism Epidemic: Living in the Age of Entitlement. Simon and Schuster. ISBN 978-1-4165-7599-3.