ข้ามไปเนื้อหา

ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Edge of Tomorrow)
ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร
ใบปิดภาพยนตร์ฉบับภาษาไทย
กำกับดั๊ก ลีแมน
เขียนบทคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่
เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ
จอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ
อำนวยการสร้างเออร์วิน สตอฟฟ์
ทอม ลาสซัลลี
เจฟฟรี ซิลเวอร์
เกรกอรี จาคอบส์
เจสัน ฮอฟฟ์ส
นักแสดงนำทอม ครูซ
เอมิลี บลันต์
บิลล์ แพกซ์ตัน
เบรนแดน กลีสัน
กำกับภาพดีออน บีบิ
ตัดต่อเจมส์ เฮอร์เบิร์ต
ลอรา เจนนิงส์
ดนตรีประกอบคริสตอฟ เบคก์
ผู้จัดจำหน่ายวอร์เนอร์บราเธอร์สพิกเจอร์ส
วันฉาย
ความยาว113 นาที[1]
ประเทศสหรัฐ[2]
ภาษาอังกฤษ
ทุนสร้าง178 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3]
ทำเงิน370.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3]

ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร (อังกฤษ: Edge of Tomorrow) คือ ภาพยนตร์อเมริกันปี พ.ศ. 2557 แนวนิยายวิทยาศาสตร์ทหาร กำกับโดย ดั๊ก ลีแมน นำแสดงโดย ทอม ครูซ และเอมิลี บลันต์ และเขียนบทโดย คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่ เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และจอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ

เนื่อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากไลต์โนเวลเรื่อง ออลยูนีดอิสคิล ของฮิโระชิ ซะกุระซะกะ โดยมีฉากหลังเป็นโลกมนุษย์ในปี พ.ศ. 2563 เล่าเรื่องของบิล เคจ (แสดงโดยครูซ) ทหารจากหน่วยประชาสัมพันธ์กองทัพที่ถูกลงโทษให้ไปร่วมรบในสงครามครั้งใหญ่ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวเผ่าที่ชื่อ “มิมิก” ที่มาบุกโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เขาถูกสังหารในสงครามครั้งนั้น แต่ก็กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในวันก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามหนึ่งวัน หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เขาเสียชีวิตเขาจะกลับมาฟื้นที่เดิมเวลาเดิม และต้องดำเนินชีวิตเช่นเดิม เคจจึงแก้ปัญหาด้วยการร่วมมือกับริตา วราทัสกี (แสดงโดยบรันต์) นักรบหญิงจากหน่วยรบพิเศษ เพื่อหาทางเอาชนะมิมิกและหลุดพ้นจากวังวนดังกล่าว

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผลิตโดยบริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์ส ร่วมกับบริษัท 3 อาร์ตส์เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทวิซมีเดีย และบริษัทวิลเลจโรดโชว์ เริ่มถ่ายทำช่วงปลายปี พ.ศ. 2555 ที่ประเทศอังกฤษ เข้าฉายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 ใน 28 ประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร บราซิล เยอรมนี สเปน อินโดนีเซีย ฯลฯ และฉายเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนของปีเดียวกันเพิ่มอีก 36 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย จีน รัสเซีย ฯลฯ โดยทำรายได้กว่า 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่

เนื้อเรื่องย่อ

[แก้]

ในปี พ.ศ. 2558 มนุษย์ต่างดาวเผ่าที่ถูกเรียกว่า “มิมิก” เดินทางมารุกรานโลกและบุกยึดภาคพื้นทวีปยุโรปเอาไว้ ฝ่ายมนุษย์ได้จัดตั้งกองกำลังพันธมิตรป้องกันโลก (United Defense Force หรือ UDF) เพื่อทำสงครามกับมิมิก ซึ่งได้รับชัยชนะเพียงครั้งเดียวที่สมรภูมิเวอร์ดัน ประเทศฝรั่งเศส

5 ปีต่อมา ในประเทศอังกฤษ พลเอก บริกแฮม (เบรนแดน กลีสัน) ผู้บัญชาการสูงสุดของ UDF สั่งการให้พันตรี วิลเลียม เคจ (ทอม ครูซ) จากหน่วยประชาสัมพันธ์ของกองทัพ ลงสนามรบที่ฝรั่งเศสร่วมกับพลทหารเพื่อบันทึกภาพปฏิบัติการดังกล่าว เคจปฏิเสธเนื่องจากตนไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำงานภาคสนามพร้อมกับข่มขู่ว่าจะป้ายความผิดให้บริกแฮมหากปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว เมื่อได้ฟังดังนั้น บริกแฮมจึงสั่งจับกุมและลดยศเคจเป็นพลทหาร และส่งไปปฏิบัติหน้าที่ที่แนวหน้าร่วมกับกองทหารหมู่เจ ภายใต้การบังคับบัญชาของจ่าสิบเอก แฟเรลล์ (บิลล์ แพกซ์ตัน)

หนึ่งวันต่อมา เคจลงสนามรบและพบว่ากองทัพของมนุษย์ถูกมิมิกลอบโจมตีจนพ่ายแพ้ เขาฆ่ามิมิกตัวใหญ่ด้วยระเบิดได้ แรงระเบิดทำให้เลือดของมิมิกตัวนั้นสาดใส่เขา และเขาก็ตายไปพร้อมกันด้วย

ทันทีที่เขาตาย เขากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันที่ถูกส่งตัวมายังหมู่เจพร้อมกับความทรงจำที่ได้รับจากสนามรบ เขาพยายามบอกทุกคนให้รู้ชะตากรรมของตัวเองในการรบแต่ไม่มีใครเชื่อ ทำให้เขาต้องร่วมรบแล้วตาย และฟื้นขึ้นมาในวันก่อนหน้าจะเกิดสงครามอีกครั้ง เคจตกอยู่ในวังวนนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้เขามีทักษะในการรบเพิ่มขึ้นและสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสนามรบได้อย่างแม่นยำ จนกระทั่งในการรบครั้งหนึ่ง เขาได้พบกับสิบเอกหญิง ริตา วราทัสกี (เอมิลี บลันต์) นักรบที่มีฝีมือและชื่อเสียงจากสมรภูมิเวอร์ดัน เมื่อเธอเห็นการเคลื่อนไหวและวิธีการต่อสู้ของเคจที่ก้าวหน้ากว่าคนอื่น ๆ เธอก็รู้ทันทีว่าเคจกำลังตกอยู่ในวังวนเวลาอย่างที่เธอเคยเป็น เธอจึงบอกเขาให้ไปพบเธอตอนที่ “ตื่น” อีกครั้ง แล้วทั้งคู่ก็เสียชีวิตจากแรงระเบิดในสงคราม

เมื่อเคจฟื้นขึ้น เขาได้ไปพบกับวราทัสกีและแนะนำตัวกับเธออีกครั้ง เธอพาเขาไปพบ ดร. คาร์เตอร์ (โนอาห์ เทย์เลอร์) ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาของมิมิก คาร์เตอร์อธิบายให้เคจฟังว่า มิมิกจะทำงานเหมือนผึ้ง โดยหากตัวจ่าฝูงที่เรียกว่า “อัลฟา” ถูกฆ่า ตัวนางพญาที่เรียกว่า “โอเมกา” จะย้อนเวลาชีวิตให้ตัวที่ถูกฆ่ากลับไปหนึ่งวันก่อนหน้านั้นเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการต่อสู้ โดยสาเหตุที่เคจสามารถย้อนเวลาได้เหมือนกับมิมิกที่ถูกฆ่า เป็นเพราะว่าเคจได้รับเลือดของมิมิกตัวที่เขาฆ่าตายในสมรภูมิครั้งแรก เช่นเดียวกันกับวราทัสกีที่เคยมีความสามารถนี้เมื่อครั้งทำสงครามที่สมรภูมิเวอร์ดัน แต่สุดท้ายก็สูญเสียมันไปหลังจากที่เธอถูกถ่ายเลือดหลังได้รับบาดเจ็บ

หลังจากนั้น วราทัสกีได้ฝึกการต่อสู้ให้เคจ แต่เคจมักล้มเหลวในการฝึกจนทำให้วราทัสกีต้องฆ่าเขาเพื่อให้กลับไปเริ่มต้นใหม่อยู่หลายครั้ง ด้วยความผิดหวังจากความล้มเหลวดังกล่าว เขาถอนตัวจากการฝึกและหลบหนีไปยังกรุงลอนดอน แต่ก็พบกับกลุ่มมิมิกที่วางแผนเข้าโจมตีลอนดอนในวันนั้นพอดีจนทำให้เขาเสียชีวิตอีกครั้ง

หลังจากการตายครั้งนั้น เคจเห็นนิมิตว่ามิมิกโอเมกาอาศัยอยู่ในเขื่อนแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนี (ซึ่งคาร์เตอร์อธิบายสาเหตุที่เกิดนิมิตครั้งนี้ว่า เกิดจากการที่โอเมกาพยายามจะหาตำแหน่งของเคจ) จากเบาะแสดังกล่าว ทำให้เคจและวราทัสกีใช้เวลาในหลาย ๆ ลูปชีวิตของเคจในการหาเส้นทางจากสนามรบไปยังเขื่อนดังกล่าว

ก่อนที่จะถึงเขื่อน วราทัสกีถูกสังหารโดยมิมิก เคจจึงตัดสินใจออกล่าโอเมกาเพียงลำพัง แต่ก็พบว่าการเดินทางไปเขื่อนเป็นเพียงแผนลวงของมิมิกเท่านั้น ที่เขื่อนเขาถูกลอบจอมตีจากมิมิกอัลฟา แต่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้อัลฟาทำลายความสามารถในการย้อนเวลาของเขา

เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง เคจและวราทัสกีตัดสินใจลักลอบเข้าไปในกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร เพื่อขอเครื่องมือค้นหาตำแหน่งโอเมกาตัวต้นแบบจากบริกแฮม บริกแฮมยอมให้เครื่องมือดังกล่าวกับเคจ แต่ก็สั่งการทหารให้ตามจับกุมทั้งสองไว้ เคจพบว่าโอเมกาอยู่ใต้ฐานพีระมิดลูฟวร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการจับกุม เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและถูกถ่ายเลือด ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถย้อนเวลาได้อีกต่อไป

เขาได้รับการช่วยเหลือจากวราทัสกีให้ออกจากโรงพยาบาลแห่งนั้น ทั้งสองไปขอความร่วมมือจากทหารในหมู่เจให้ช่วยไปทำลายโอเมกาที่ปารีส ทั้งหมดตอบตกลงและเดินทางไปปารีสพร้อมกัน พวกเขาทำสงครามกับฝูงมิมิกที่นั่นจนทำให้ทหารหลายนายเสียชีวิต และเปิดทางให้เคจกับวราทัสกีสามารถเข้าไปยังฐานที่มั่นของโอเมกาได้ ทั้งสองพบกับอัลฟาตัวหนึ่งที่เข้ามาโจมตี โดยสามารถฆ่าวราทัสกีและทำร้ายเคจจนบาดเจ็บสาหัส แต่ก่อนที่เคจจะเสียชีวิตเขาได้หย่อนสายระเบิดมือไปที่โอเมกาและฆ่ามันได้ในที่สุด

ร่างของเคจจมลงไปยังแหล่งน้ำที่โอเมกาอาศัยอยู่และได้รับเลือดของโอเมกาเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ความสามารถในการย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เขาย้อนเวลากลับไปในวันที่พบกับบริกแฮมครั้งแรก บริกแฮมประกาศทางโทรทัศน์ว่ามิมิกหยุดการเคลื่อนไหวแล้วหลังจากที่มีพลังงานลึกลับบางอย่างเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในปารีส ส่วนเคจ ซึ่งได้ยศพันตรีกลับคืนมาอีกครั้ง เดินทางไปพบวราทัสกี ก่อนจะทักทายกันในตอนจบ

นักแสดง

[แก้]

การผลิต

[แก้]

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผลิตโดยบริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์สและวิลเลจโรดโชว์พิกเจอร์ส ร่วมกับบริษัทโปรดักชัน 3 อาร์ตส์เอนเตอร์เทนเมนต์และวิซโปรดักชันส์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 178 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[4]

บทภาพยนตร์

[แก้]

บทภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากไลต์โนเวลญี่ปุ่นเรื่อง ออลยูนีดอิสคิล ของฮิโระชิ ซะกุระซะกะ[5] ซึ่งบริษัทวิซมีเดียถือลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือโดยเริ่มจัดจำหน่ายในปี พ.ศ. 2552 โดยเออร์วิน สตอฟฟ์ เจ้าของบริษัท 3 อาร์ตส์เอนเตอร์เทนเมนต์ สนใจเนื้อเรื่องของไลต์โนเวลเรื่องนี้และขอซื้อลิขสิทธิ์ดังกล่าวมาสร้างเป็นบทภาพยนตร์[6] โดยสตอฟฟ์ได้ว่าจ้างดันเต ฮาร์เปอร์ มาทำหน้าที่ร่างบทภาพยนตร์ร่างแรกเพื่อนำเสนอขายสตูดิโอภาพยนตร์[7] ซึ่งต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 บริษัทวอร์เนอร์บราเธอร์สตกลงซื้อลิขสิทธิ์ในร่างดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] และจ้างดั๊ก ลีแมน เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน[5]

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 วอร์เนอร์ว่าจ้างโจบี แฮโรลด์ มาเขียนบทร่างที่สอง[9] โดยก่อนการถ่ายทำ 6 เดือน ลีแมนได้พิจารณาตัดทอนบทร่างนี้ออกสองในสามส่วน และให้เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และจอห์น-เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ นำไปเขียนใหม่ ก่อนที่จะเปลี่ยนผู้เขียนบทอีกครั้งเป็นไซมอน คินเบิร์ก และเปลี่ยนอีกครั้งเป็นคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่ ในท้ายที่สุด[10]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Edge of Tomorrow (12A)". bbfc.co.uk. British Board of Film Classification. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 2014. สืบค้นเมื่อ May 1, 2014.
  2. "Edge of Tomorrow (2014)". British Film Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 12, 2015. สืบค้นเมื่อ June 16, 2014.
  3. 3.0 3.1 "Edge of Tomorrow". boxofficemojo.com. Box Office Mojo. September 11, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 12, 2016. สืบค้นเมื่อ April 16, 2016.
  4. Brent Lang. "Tom Cruise, Angelina Jolie Test Star Power at International B.O. With ‘Edge of Tomorrow,’ ‘Maleficent’". Variety. 23 May 2014. สืบค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2560.
  5. 5.0 5.1 Dave McNary. "Doug Liman to direct ‘All You Need Is Kill’". Variety. 23 August 2010. สืบค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2560.
  6. "Edge of Tomorrow: About The Production". Cinema Review Magazine. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2560.
  7. Neeti Sarkar. "‘Be true to yourself’". The Hindu. 3 April 2014. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2560.
  8. Mike Fleming Jr. "Warners Makes 7-Figure Spec Deal For Japanese Novel 'All You Need Is Kill'". Deadline. 5 April 2010. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2560.
  9. Dave McNary. "Joby Harold rewriting WB’s ‘Kill’". Variety. 21 June 2011. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2560.
  10. Chris Lee. "Doug Liman hopes his wild loop means a hit with 'Edge of Tomorrow'". Los Angeles Times. 31 May 2014. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2560.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]