เจ้าหญิงวิคโทรีอาแห่งเฮ็สเซินและริมไรน์
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เจ้าหญิงวิคโทรีอา | |||||
---|---|---|---|---|---|
มาร์เชอเนสแห่งมิลฟอร์ดเฮเวน | |||||
ประสูติ | 5 เมษายน ค.ศ. 1863 วินด์เซอร์ บาร์กเซอร์ ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร | ||||
สิ้นพระชนม์ | 24 กันยายน ค.ศ. 1950 ลอนดอน ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร | (87 ปี)||||
ฝังพระศพ | 28 กันยายน ค.ศ. 1950 St. Mildred's Church, Whippibgham ไอล์ออฟไวต์ | ||||
พระสวามี | เจ้าชายลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค | ||||
| |||||
พระบุตร | เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค ลุยส์ เมานต์แบ็ทแตน จอร์จ เมานต์แบ็ทแตน หลุยส์ เมานต์แบ็ทแตน | ||||
ราชวงศ์ | เฮ็สเซิน-ดาร์มชตัท | ||||
พระบิดา | ลูทวิชที่ 4 แกรนด์ดยุกแห่งเฮ็สเซิน | ||||
พระมารดา | เจ้าหญิงอลิซแห่งสหราชอาณาจักร |
เจ้าหญิงวิคโทรีอา อัลแบร์ทา เอลีซาเบ็ท มาทิลเดอ มารี แห่งเฮ็สเซินและริมไรน์ (เยอรมัน: Viktoria Alberta Elisabeth Mathilde Marie von Hessen und bei Rhein) หรือพระนามหลังการสมรสคือ วิกตอเรีย เมานต์แบ็ทแตน มาร์เชอเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน (อังกฤษ: Victoria Mountbatten, Marchioness of Milford Haven) เป็นเจ้าหญิงเยอรมันจากแกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน ซึ่งสมรสเข้าสู่พระราชวงศ์อังกฤษ เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของลูทวิชที่ 4 แกรนด์ดยุกแห่งเฮ็สเซิน กับเจ้าหญิงอลิซแห่งสหราชอาณาจักร ทำให้ทรงมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
พระชนนีของพระองค์สิ้นพระชนม์ขณะที่พระขนิษฐาและพระอนุชายังทรงพระเยาว์ จึงทำให้ทรงมีภาระความรับผิดชอบต่อทุกพระองค์ก่อนเวลาอันควร พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค พระญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งทรงรับราชการอยู่ในราชนาวีแห่งอังกฤษด้วยความรักและทรงมีชีวิตสมรสในสถานที่ต่างๆ ของทวีปยุโรป อันเป็นสถานที่ปฏิบัติราชการในราชนาวีของพระสวามี และได้เสด็จเยี่ยมพระประยูรญาติด้วย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าหญิงและพระสวามีทรงสละพระอิสริยยศเยอรมันและใช้ราชสกุลที่ฟังดูเป็นอังกฤษว่า เมานต์แบ็ตเทน พระขนิษฐาสองพระองค์ซึ่งได้อภิเษกสมรสเข้าไปยังพระราชวงศ์รัสเซียทรงถูกปลงพระชนม์โดยกลุ่มปฏิวัติคอมมิวนิสต์ พระองค์ทรงมีทัศนคติแบบเสรีนิยม เปิดเผย ชอบปฏิบัติ และฉลาด
นอกจากนี้พระองค์ยังได้เป็นพระอัยยิกาของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 อีกด้วย
ชีวิตในวัยเยาว์
[แก้]เจ้าหญิงวิคโทรีอาประสูติในวันอีสเตอร์ ณ ปราสาทวินด์เซอร์ โดยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระอัยยิกาได้เสด็จมาประทับอยู่ด้วย พระองค์ทรงเข้ารับศีลจุ่มตามแบบนิกายลูเธอรันภายในอ้อมพระกรของสมเด็จพระราชินีนาถในวันที่ 27 เมษายน[1] พระองค์ทรงมีชีวิตในวัยเยาว์ที่เมืองเบสซุนเกิน ประเทศเยอรมนี เมื่อมีพระชนมายุได้ 3 พรรษา ครอบครัวของพระองค์ได้ย้ายไปประทับยังพระราชวังใหม่ เมืองดาร์มชตัท ซึ่งเจ้าหญิงประทับในห้องเดียวกับเจ้าหญิงเอลลา พระขนิษฐาจนกระทั่งเจริญพระชนม์เข้าสู่วัยดรุณี ในช่วงการบุกแคว้นเฮ็สเซินในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1866 พระองค์พร้อมด้วยเจ้าหญิงเอลลา พระขนิษฐาทรงถูกส่งไปยังประเทศอังกฤษเพื่อไปประทับกับพระอัยยิกาจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงโดยการรวมแคว้นเฮ็สเซินเป็นส่วนหนึ่งของปรัสเซีย[2] พระองค์ทรงได้รับการศึกษาในแบบส่วนพระองค์ถึงในระดับมาตรฐานที่สูงมาก และยังทรงเป็นนักอ่านหนังสืออยู่ตลอดพระชนม์ชีพอีกด้วย[3]
ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี ค.ศ. 1870 พระองค์จำได้ว่าในขณะทรงช่วยทำซุปอยู่ในครัวกับพระชนนี ซึ่งทรงถูกซุปร้อนลวกที่แขน โรงพยาบาลสำหรับทหารได้ตั้งขึ้นอยู่ในเขตพระราชวังและท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูหนาว[4] เมื่อปี ค.ศ. 1872 เจ้าชายฟรีดริช วิลเฮล์มแห่งเฮ็สเซินและไรน์ พระอนุชาชันษา 18 เดือนทรงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเฮโมฟีเลีย การวินิจฉัยดังกล่าวสร้างความตกตะลึงแก่ราชวงศ์ทั่วทั้งทวีปยุโรป เนื่องจากว่าเป็นเวลายี่สิบปีมาแล้วที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีประสูติกาลเจ้าชายลีโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานี พระราชโอรสที่เป็นโรคเฮโมฟีเลีย เป็นการชี้ให้เห็นครั้งแรกว่าความผิดปกติของการหลั่งเลือดในพระราชวงศ์เป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม[5] ในปีต่อมา "เจ้าชายฟริตตี้" ทรงตกลงมาจากพระบัญชรลงสู่บันไดหินและสิ้นพระชนม์ในที่สุด นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งแรกในหลายๆ ครั้งที่รุมเร้าเจ้าหญิงวิคโทรีอา
เมื่อปี ค.ศ. 1978 เจ้าหญิงวิคโทรีอาทรงได้รับเชื้อโรคคอตีบ เจ้าหญิงเอลลาทรงย้ายออกจากห้องทันที พระองค์ทรงเป็นสมาชิกในครอบครัวพระองค์เดียวที่รอดพ้นจากโรคดังกล่าว พระชนนีได้พยาบาลดูแลเจ้าหญิงวิคโทรีอาและสมาชิกพระองค์อื่นๆ อยู่เป็นเวลาหลายวัน และในที่สุดเจ้าหญิงมารี พระขนิษฐาองค์เล็กของเจ้าหญิงได้สิ้นพระชนม์ลง เมื่อครอบครัวดูเหมือนว่าอาการดีขึ้น พระชนนีของเจ้าหญิงวิคโทรีอาเริ่มประชวร พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันครอบรอบการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายอัลเบิร์ต[6] ในฐานะพระธิดาองค์ใหญ่ เจ้าหญิงวิคโทรีอาทรงรับหน้าที่เหมือนเป็นมารดาให้กับพระโอรสและธิดาองค์เล็กๆ และเสด็จเคียงข้างพระชนก[7] พระองค์ทรงเขียนว่า "การสิ้นพระชนม์ของพระมารดาเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ ช่วงวัยเด็กของเราจบสิ้นลงพร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพราะว่าเราได้กลายเป็นพี่ใหญ่สุดและมีความรับผิดชอบมากที่สุด"[8]
อภิเษกสมรส และ ครอบครัว
[แก้]ในการรวมตัวกันของสมาชิกในพระราชวงศ์ เจ้าหญิงวิคโทรีอาทรงพบกับพระญาติชั้นที่หนึ่งของพระองค์อยู่เป็นประจำคือ เจ้าชายลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค เจ้าชายจากรัฐเยอรมันเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งทรงเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นชาวอังกฤษและรับราชการเป็นทหารอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1882 ทั้งสองพระองค์ทรงพบกันอีกครั้งที่เมืองดาร์มชตัทและหมั้นกันในฤดูร้อนปีถัดมา[9]
หลังจากการเลื่อนออกไปเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ อันเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเลโอโพลด์[10] เจ้าหญิงได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายลูทวิชในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1884 ณ เมืองดาร์มชตัท พระชนกของพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการเลือกอภิเษกสมรส โดยในมุมมองของพระชนก เจ้าชายลูทวิชไม่ทรงร่ำรวยเงินทองมากนักและจะพรากเจ้าหญิงไปจากการเป็นเพื่อนเคียงข้าง เพราะทั้งสองพระองค์จำเป็นต้องเสด็จไปประทับอยู่ในต่างแดนที่ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงวิคโทรีอาทรงเป็นตัวของตัวเองและไม่ได้ทรงใส่พระทัยกับความไม่พอใจของพระชนกมากนัก[11] ยิ่งน่าแปลกใจไปกว่านั้น พระชนกของเจ้าหญิงวิคโทรีอาทรงอภิเษกสมรสอย่างลับๆ ในตอนเย็นวันเดียวกันกับอเล็กซานดรีน เด โคเลมีเน นางสนมที่ไร้ยศศักดิ์ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของอุปทูตชาวรัสเซียประจำเมืองดาร์มชตัท การอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชนที่หย่าร้างมาแล้วสร้างความตกใจกับพระราชวงศ์อื่นๆ ในทวีปยุโรป และด้วยความกดดันทางครอบครัวและการทูต จึงทำให้ต้องทรงยกเลิกการอภิเษกสมรส[12]
เจ้าหญิงวิคโทรีอาและเจ้าชายลูทวิช มีพระโอรสและธิดารวม 4 พระองค์ คือ
- เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค (วิกตอเรีย อลิซ เอลิซาเบธ จูลี มารี; 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1885 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1969)
- ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1903 ณ เมืองดาร์มชตัท กับ เจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก (1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1882 - 3 ธันวาคม ค.ศ. 1944)
- พระชนนีในเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ
- เจ้าหญิงลูอีเซอแห่งบัทเทินแบร์ค (หลุยส์ อเล็กซานดรา มารี ไอรีน; 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1889 - 7 มีนาคม ค.ศ. 1965)
- ทรงอภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังเซนต์เจมส์ กับ เจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งสวีเดน (11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1882 - 15 กันยายน ค.ศ. 1973) ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน หลังการเสวยราชสมบัติของพระสวามี
- เจ้าชายจอร์จแห่งบัทเทินแบร์ค (จอร์จ หลุยส์ วิกเตอร์ เฮนรี เซอร์จ; 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1892 - 8 เมษายน ค.ศ. 1938)
- ทรงดำรงตำแหน่ง มาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลฟอร์ดฮาเว็น เอิร์ลแห่งเมดินา และไวส์เค้านท์อัลเดอร์เนย์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1921
- ทรงอภิเษกสมรสวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน กับ เค้านท์เตส นาเด็จดา มิคาอิลอฟนา เดอ ทอร์บี้ (28 มีนาคม ค.ศ. 1896 - 22 มกราคม ค.ศ. 1963)
- เจ้าชายลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค (หลุยส์ ฟรานซิส อัลเบิร์ต วิกเตอร์ นิโคลาส; 25 มิถุนายน ค.ศ. 1900 - 27 สิงหาคม ค.ศ. 1979)
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น เอิร์ลเมานต์แบ็ทแตนแห่งพม่า และบารอนรอมซีย์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1947
- ทรงดำรงตำแหน่งเป็น อุปราชแห่งอินเดีย ระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947
- ทรงดำรงตำแหน่งเป็น ข้าหลวงใหญ่แห่งอินเดีย ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 ถึงวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1948
- ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1922 ณ กรุงลอนดอน กับ เอ็ดวินา ซินเธีย แอนเน็ต แอชลีย์ (28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901 - 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960)
พระสวามีของเจ้าหญิงทรงปฏิบัติราชการทหารอยู่ในราชนาวีอังกฤษและทั้งสองพระองค์ก็ได้ประทับอยู่ในตำหนักหลายที่เมืองเชสเตอร์ มณฑลซัสเซ็กส์ เมืองวอลตัน-ออน-เทมส์ และปราสาทไฮลิเก็นแบร์ก เมืองยูเก็นไฮม์ เมื่อเจ้าชายลูทวิชทรงรับราชการอยุ่ในกองทัพเรือเมดิเตอร์เรเนียน เจ้าหญิงก็ยังทรงประทับในมอลตาในบางฤดูหนาวด้วย
ปลายพระชนม์ชีพ
[แก้]เจ้าชายลูทวิชทรงถูกบังคับให้ลาออกจากราชนาวีอังกฤษในช่วงเริ่มแรกของสงครามโลกครั้งที่ 1เมื่อภูมิหลังเยอรมันของพระองค์กลายเป็นความลำบากใจ และทั้งสองพระองค์จึงเสด็จไปอยู่ตำหนักเคนต์ บนเกาะไวท์ในช่วงสงคราม ความเป็นปรปักษ์ของสาธารณชนอย่างไม่หยุดยั้งต่อเยอรมนี ทำให้พระมหากษัตริย์ (สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร) ทรงสละพระอิสรยยศเยอรมันทั้งหมด ขณะเดียวกันเจ้าชายลูทวิชและเจ้าหญิงวิคโทรีอาก็ทรงสละพระอิสริยยศของพระองค์ และทรงเปลี่ยนชื่อราชสกุลบัทเทินแบร์คให้เป็นภาษาอังกฤษว่า เมานต์แบ็ทแตน ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 อีกสามวันต่อมาเจ้าชายทรงได้รับพระราชทานยศขุนนางจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นมาร์ควิสแห่งมิลฟอร์ดฮาเว็น หลังจากการปฏิวัติรัสเซียเดือนตุลาคมพวกบอลเชวิคได้ปลงพระชนม์พระขนิษฐาในเจ้าหญิงวิคโทรีอาสองพระองค์คือ สมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย และ แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย พระชายาในแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย
การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายลูทวิชหลังจากสงครามสิ้นสุดลงสามปี เจ้าหญิงวิคโทรีอาทรงย้ายไปประทับยังพระราชวังเคนซิงตัน ซึ่งได้รับพระราชทานจากองค์พระประมุขแห่งอักฤษ ในช่วงปี ค.ศ. 1930 พระองค์ทรงดูแลเกี่ยวกับการศึกษาและการเลี้ยงดูเจ้าชายฟิลิป พระนัดดาระหว่างการแยกกันอยู่ของพระชนกและพระชนนีและการดูแลสาธารณประโยชน์ของพระชนนี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอากาศของนาซีเยอรมันทิ้งระเบิดที่พระราชวังเคนซิงตัน ทำให้เจ้าหญิงวิคโทรีอาเสด็จไปประทับยังปราสาทวินด์เซอร์กับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในช่วงเวลาหนึ่ง
เจ้าฟ้าหญิงวิกตอเรียสิ้นพระชนม์ ณ พระราชวังเคนซิงตัน กรุงลอนดอน โดยพระศพฝังอยู่ที่โบสถ์นักบุญมิลเดร็ด เมืองวิปปิ้งแฮม บนเกาะไว้ท์
พระอิสริยยศ
[แก้]- 5 เมษายน ค.ศ. 1863 - 30 เมษายน ค.ศ. 1883: เฮอร์แกรนด์ดิวคัลไฮเนส เจ้าหญิงวิคโทรีอาแห่งเฮ็สเซินและไรน์ (Her Grand Ducal Highness Princess Victoria of Hesse and by Rhine)
- 30 เมษายน ค.ศ. 1883 - 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1917: เฮอร์แกรนด์ดิวคัลไฮเนส เจ้าหญิงลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค (Her Grand Ducal Highness Princess Louis of Battenberg)
- 14 - 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1917: เลดี้เมานต์แบ็ทแตน (Lady Mountbatten)
- 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 - 11 กันยายน ค.ศ. 1921: ท่านผู้หญิงมาร์ชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น (The Most Honourable The Marchioness of Milford Haven)
- 11 กันยายน ค.ศ. 1921 - 24 กันยายน ค.ศ. 1950: ท่านผู้หญิงมาร์ชเนสหม้ายแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น (The Most Honourable The Dowager Marchioness of Milford Haven)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Hough, Richard (1984). Louis and Victoria: The Family History of the Mountbattens. Second edition. London: Weidenfeld and Nicolson. p. 28. ISBN 0297784706.
- ↑ Hough, p.29
- ↑ Hough, p.30
- ↑ Hough, p.34
- ↑ Hough, p.36
- ↑ Hough, pp.46–48
- ↑ Vickers, Hugo (2004), "Mountbatten, Victoria Alberta Elisabeth Mathilde Marie, marchioness of Milford Haven (1863–1950)", Oxford Dictionary of National Biography, Oxford University Press
- ↑ Hough, p.50
- ↑ Hough, p.57
- ↑ Hough, p.114
- ↑ Ziegler, Philip (1985). Mountbatten. London: Collins. p. 24. ISBN 0002165430.
- ↑ Hough, pp.117–122