มันแกว
มันแกว | |
---|---|
![]() | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Fabales |
วงศ์: | Fabaceae |
วงศ์ย่อย: | Faboideae |
สกุล: | Pachyrhizus |
สปีชีส์: | P. erosus |
ชื่อทวินาม | |
Pachyrhizus erosus (L.) Urb. | |
ชื่อพ้อง | |
|
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 159 กิโลจูล (38 กิโลแคลอรี) |
8.82 g | |
น้ำตาล | 1.8 g |
ใยอาหาร | 4.9 g |
0.09 g | |
0.72 g | |
วิตามิน | |
ไทอามีน (บี1) | (2%) 0.02 มก. |
ไรโบเฟลวิน (บี2) | (2%) 0.029 มก. |
ไนอาซิน (บี3) | (1%) 0.2 มก. |
(3%) 0.135 มก. | |
วิตามินบี6 | (3%) 0.042 มก. |
โฟเลต (บี9) | (3%) 12 μg |
คลอรีน | (3%) 13.6 มก. |
วิตามินซี | (24%) 20.2 มก. |
แร่ธาตุ | |
แคลเซียม | (1%) 12 มก. |
เหล็ก | (5%) 0.6 มก. |
แมกนีเซียม | (3%) 12 มก. |
แมงกานีส | (3%) 0.06 มก. |
ฟอสฟอรัส | (3%) 18 มก. |
โพแทสเซียม | (3%) 150 มก. |
โซเดียม | (0%) 4 มก. |
สังกะสี | (2%) 0.16 มก. |
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ แหล่งที่มา: USDA FoodData Central |
มันแกว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pachyrhizus erosus; อังกฤษ: Mexican turnip หรือ jicama หรือ yam bean) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีญาติใกล้ชิดคือถั่วเหลือง ลักษณะต้นมันแกวเป็นเถาเลื้อย หัวอวบใหญ่ขยายจากรากแก้ว โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยขอบจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน มันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว ชาวเม็กซิโกชอบรับประทานมันแกวตั้งแต่สมัยอารยธรรมมายาและแอซเต็ก นิยมใช้เป็นอาหารว่าง ใส่น้ำมะนาว พริกผง และเกลือ
ประวัติ
[แก้]มันแกว (P. erosus) เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโก และแถบอเมริกากลาง[1] ทางใต้สุดที่คอสตาริกา[2] โดยพบหลักฐานการปลูกจากแหล่งโบราณคดีที่เปรูซึ่งมีอายุประมาณ 3,000ปี[3] และนำเข้าไปปลูกในประเทศแถบทวีปเอเชียโดยชาวสเปน[4] จากเส้นทางอะคาปุลโก-ฟิลิปปินส์ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย อินเดีย และแอฟริกา ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้เรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจเรียกด้วยชื่ออื่น ๆ เช่น "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ "ถั่วกินหัว"
ชื่ออื่น
[แก้]มันแกว มีชื่อสามัญอื่นเรียกในภาษาต่าง ๆ ได้แก่
ชื่อภาษาอินโดนีเซีย: bengkuang (ชื่อในภาษาชวา bengkowang; ภาษาซุนดา bangkuang)[5]
ชื่อภาษามลายู: sengkuwang, bengkuwang, mengkuwang
ชื่อภาษาตากาล็อก: singkamas (ซิงกามาส)
ชื่อภาษาเวียดนาม: cây củ đậu (ภาคเหนือ), sắn nước (ภาคใต้).
ชื่อภาษาลาว: ມັນເພົາ (มันเพา)
ชื่อภาษาอีสาน (ประเทศไทย) : มันเพา
ชื่อภาษาเขมร: ប៉ិគក់ (เบะ-โกก)
ชื่อภาษาพม่า: ပဲစိမ်းစားပင် (pell hcaim hcarr pain)
ชื่อภาษาจีน: 凉薯 (เหลียงสู) แปลตามตัวว่า มันเย็น, 豆薯 (จีนภาคเหนือ หูหนาน - โต้วสู ถั่วกินหัว หรือ ถั่วหัวมัน), 番葛 (หมิ่นหนาน - ฟานเก๋อ), 沙葛 (กว่างตุ้ง - ซากอต), 芒光 (แต้จิ๋ว - หมังกวง เรียกทับศัพท์ตามภาษามลายู)
อนุกรมวิธานและการกระจายพันธุ์
[แก้]มันแกว (Pachyrhizus erosus) เป็นพืช 1 ในอย่างน้อย 4-5 ชนิดของสกุลมันแกว[6] (Pachyrhizus) คือ
- มันแกว หรือ มันแกวเม็กซิโก (Pachyrhizus erosus) — พืชพื้นเมืองอเมริกากลาง เป็นชนิดพันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทย ซึ่งสันนิษฐานว่าผ่านทางฟิลิปปินส์โดยชาวสเปน และนำเข้ามายังจีนใต้และอินโดจีน และสู่ประเทศไทย
- มันแกวแอมะซอน (Amazonnian yam bean) หรือ jiquima, หรือ jacatupe (Pachyrhizus tuberosus) — มีความหลากหลายของสายพันธุ์ถึง 11 ชนิดย่อยตามแหล่งเพาะปลูกในเขตร้อนในเขตที่ราบลุ่มต้นน้ำแอมะซอนในเปรูและเอกวาดอร์ แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ Jíquima (เอกวาดอร์ชายฝั่งทะเล), Ashipa (กระจายทั่วไปในที่ลุ่มน้ำแอมะซอนตะวันตก), Chuin (ตลอดเส้นทางแม่น้ำเปรู), Yushpe (ปลูกเฉพาะในท้องถิ่นของเปรู)[7] อาจพบในบางส่วนของบราซิล, โคลัมเบีย และเวเนซุเอลา
- มันแกวแอนดีส หรือ ahipa หรือ ajipa (Pachyrhizus ahipa) — พบในภูมิภาคที่ราบสูงโบลิเวียทางตะวันตกของอเมริกาใต้ ในเขตเทือกเขาแอนดีสของโบลิเวีย, เปรู และเอกวาดอร์ เป็นพันธุ์ที่คล้ายกับมันแกว (Pachyrhizus erosus) มากที่สุด
- และอีก 2 พันธุ์ที่เป็นพืชป่า คือ Pachyrhizus ferrugineus (Piper) Sørensen และ Pachyrhizus panamensis Clausen (Sørensen 1988)[7]
มันแกวแอฟริกา (African yam bean, Sphenostylis stenocarpa) — มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก และเพาะปลูกในแอฟริกาตอนใต้และตะวันออก เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีหัว ถูกเรียกว่ามันแกว (ถั่วกินหัว) จากลักษณะรากที่มีหัว แต่ไม่นับเป็นสกุลมันแกว เนื่องจากแตกออกหลายหัวคล้ายมันเทศ หัวยาวและเนื้อในสีขาว (ต่างจากมันเทศ)[8] บางครั้งหัวบิดงอพับหรือมีผิวย่น ผิวสีน้ำตาลคล้ำ มีใบขนนก 3 ใบย่อยแต่ขอบใบเรียบ มีฝักเมล็ดยาวกว่าคล้ายถั่วฝักยาว[9] เมล็ดกลมแป้น[10] มีมากกว่า 4 สีขี้นไปตามสายพันธุ์ย่อย[11]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
[แก้]มันแกว (P. erosus) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีเถาเลื้อยพัน รากเป็นระบบรากแก้ว ซึ่งสะสมอาหารแล้วขยายตัวออกเป็นหัวใต้ดิน ทรงกลมแป้น อวบน้ำ เปลือกหัวบาง ผิวเรียบ[12] หัวเดี่ยว มีรูปร่างไม่แน่นอน[13] อาจมีพูนูนรอบ ๆ [14][15] เถาของมันแกว สามารถสูงได้ถึง 4-5 เมตร และอาจยาวได้ 20 ม. หากได้รับการค้ำหรือการยึดเกาะที่เหมาะสม รากมีความยาวได้ถึง 2 ม. และรากรวมหัวหนักได้ถึง 20 กก. (ขนาดหัว 10-15 ซม.)[6] หนักที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้คือ 23 กก. พบในปี 2010 ที่ฟิลิปปินส์[ต้องการอ้างอิง] (ซึ่งเรียกว่า ซิงกามาส)
ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ขอบใบจักใหญ่ ดอกช่อกระจะ ออกเดี่ยวๆ ที่ซอกใบ มีขนสีน้ำตาล กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน สีขาว หรือชมพู รูปทรงดอกถั่วทั่วไป ยาว 1.5-2 ซม.[15] ผลเป็นฝัก รูปขอบขนาน แบน มีขนเล็กน้อย ฝักอ่อนจะมีสีเขียว และสีเขียวแก่ สีน้ำตาล จนถึงสีดำเมื่อแก่ ยาวประมาณ 7-13 ซม. กว้าง 1.2-1.5 ซม.[15] ฝักเมล็ดมี 4-9 เมล็ด มีลักษณะรูปสี่เหลี่ยม กว้าง-ยาวประมาณ 6-9 มม. สีเหลืองหรือออกแดง เป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ เมล็ดแก่มีพิษ[12][15]
การเพาะพันธุ์
[แก้]พื้นที่ที่เหมาะกับการปลูกมันแกว มีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 23-28 องศาเซลเซียส และมีฝนเฉลี่ย 400-1200 มิลลิเมตรต่อปี[16] มันแกวเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินเหนียวปนทราย ดินร่วนปนทราย ดินทราย[17] ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,700 ม.
ปัจจุบันพบมีการปลูกเกือบทั่วประเทศไทย มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี ลพบุรี ชลบุรี สมุทรสาคร รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ มหาสารคาม ขอนแก่น หนองคาย นครพนม ส่วนภาคอื่นมีปลูกน้อย[17] มันแกวเป็นพืชใช้น้ำน้อย ในประเทศไทยชาวอีสานนิยมปลูกเป็นพืชเสริมรายได้หลังหมดฤดูทำนา ในช่วงฤดูแล้งเดือนพฤศจิกายน ใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน[12] ปลูกโดยการหยอดเมล็ดเหมือนการปลูกถั่วทั่วไป[14]
การปลูกในทวีปอเมริกา มันแกวอ่อนไหวต่อความเย็นจัด และต้องใช้เวลาปลูกในเชิงพาณิชย์อย่างน้อย 5 - 9 เดือนโดยไม่มีน้ำค้างแข็ง เพื่อการเก็บเกี่ยวหัวขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีฤดูปลูกสั้น (พื้นที่ที่มีฤดูหนาวนานกว่า 3 เดือน) เว้นแต่จะเพาะเลี้ยงในเรือนกระจก การปลูกในพื้นที่เขตร้อนสามารถหว่านเมล็ดพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และในพื้นที่กึ่งเขตร้อนควรหว่านเมล็ดพันธุ์เมื่อดินอุ่นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ
การผลิตเชิงพาณิชย์
[แก้]ในประเทศเม็กซิโก มีพื้นที่ปลูกมันแกวประมาณ 65,000 ไร่ 2.3-6.9 ตันต่อไร่ (15-45 ตันต่อเฮกตาร์)[18]
ในประเทศไทย บางพื้นที่สามารถปลูกมันแกวได้ 3 รุ่นต่อปี รุ่นแรกปลูกช่วงต้นฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละ 10 ตัน รุ่นที่ 2 ปลูกช่วงปลายฤดูฝนระหว่างเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม จะได้ผลผลิต 5-6 ตัน ต่อไร่ และรุ่นที่ 3 ปลูกช่วงฤดูแล้ง ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละ 4-5 ตัน ต่อไร่ มันแกวจะใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน[12][19][20] และในปี 2556 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันแกวในทุกภาค ทั้งหมด 8,708 ไร่ ผลผลิต 16,876 ตัน[20]
การปลูกโดยทั่วไป หัวมันแกวมีน้ำหนักประมาณ 0.5-2.5 กก. ต่อหัว[6]
การใช้ประโยชน์
[แก้]ในการปรุงอาหาร
[แก้]ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เมื่อเคี้ยว รู้สึกกรอบคล้ายผลสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานสด หรือจิ้มกับพริกเกลือ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิมกรอบ (ใช้แทนแห้ว)
ในการกำจัดแมลง
[แก้]แต่ในทางกลับกัน มันแกวสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษโรติโนน (rotenone) จะรบกวนระบบหายใจ อาจชัก และอาจเสียชีวิตได้
คุณค่าทางอาหาร
[แก้]คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% โดยรสหวานนั้นมาจากโอลิโกฟลุคโตส (oligofructose หรือ fructo-oligosaccharides) ซึ่งเป็นอินูลิน ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนั้นมันแกวจึงอาจเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ควบคุมน้ำหนัก และเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี
ควรเก็บมันแกวในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 เดือน
สารสำคัญในมันแกว
[แก้]เมล็ด เมื่อผ่าออกจะมีเนื้อภายในสีเหลือง สารสำคัญประกอบด้วยสารพิษในกลุ่มไอโซฟลาโวนอยด์ (isoflavonoid) ได้แก่ erosin, pachyrrhizone, pachyrrhizin, โรติโนน (rotenone) และสารเคมีอื่นๆ ได้แก่ 12-(A)- hydroxypachyrrhizone, 12-(A)-hydroxy lineonone, 12-(A)-hydroxymundu- serone, dolineone, erosone, dehydropachyrrhizone, erosenone, neodehydrorotenone, ซาโพนิน (saponins A และ B) เป็นพิษทำให้ปลาตายได้[15][21]
ระเบียงภาพ
[แก้]-
ภาพวาดประกอบ ต้น ใบ หัว ดอก และฝัก ของมันแกว
-
ดอก และใบ ของมันแกว
-
ดอกมันแกว
-
มันแกว (เรียก ซิงกามาส) ในฟิลิปปินส์
-
มันแกวโรยพริก ในเม็กซิโก
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- พืชเศรษฐกิจ มันแกว เก็บถาวร 2007-05-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
อ้างอิง
[แก้]- Mr. Pug, ผลไม้ไทยอร่อยได้ทุกฤดู, นิตยสารแม่บ้าน ปีที่ 31 ฉบับที่ 450, พฤศจิกายน 2549, หน้า 31
- ↑ Sanderson, Helen (2005). Prance, Ghillean; Nesbitt, Mark (บ.ก.). The Cultural History of Plants. Routledge. p. 67. ISBN 0415927463.
- ↑ "Pachyrhizus erosus (PROSEA) - PlantUse English". uses.plantnet-project.org.
- ↑ Sanderson, Helen (2005). Prance, Ghillean; Nesbitt, Mark (บ.ก.). The Cultural History of Plants. Routledge. p. 67. ISBN 0415927463.
- ↑ Sanderson, Helen (2005). Prance, Ghillean; Nesbitt, Mark (บ.ก.). The Cultural History of Plants. Routledge. p. 67. ISBN 0415927463.
- ↑ Cornelis Gijsbert Gerrit Jan van Steenis Steenis, CGGJ van. 1981. Flora, untuk sekolah di Indonesia. PT Pradnya Paramita, Jakarta. Hal. 238
- ↑ 6.0 6.1 6.2 "Yam Bean Market Guide". Tridge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-04-05. สืบค้นเมื่อ 2021-03-22.
- ↑ 7.0 7.1 "Plant Genetic Resources Newsletter - Review of the Pachyrhizus tuberosus (Lam.) Spreng. cultivar groups in Peru". www.bioversityinternational.org.
- ↑ "(PDF) African Yam Bean (Sphenostylis Stenocarpa) tubers for nutritional security 1, 2 *Ojuederie OB and". ResearchGate (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Is the African Yam Bean Nigeria’s answer to help reduce its devastating food insecurity? Cordis EU Research Results. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2564.
- ↑ "Sphenostylis stenocarpa African Yam Bean PFAF Plant Database". pfaf.org.
- ↑ "The prospects of African yam bean: past and future importance". Heliyon (ภาษาอังกฤษ). 6 (11): e05458. 2020-11-01. doi:10.1016/j.heliyon.2020.e05458. ISSN 2405-8440.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 มันแกวกุดรัง ปลูกง่าย กำไรงาม ลงทุนหลักพัน โกยกำไรทะลุหมื่น. เทคโนโลยีชาวบ้าน. 12 เมษายน 2563.
- ↑ "มันแกว - สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ". www.saranukromthai.or.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-14. สืบค้นเมื่อ 2021-03-19.
- ↑ 14.0 14.1 JOM (2016-12-19). "มันแกว". Thai Food.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 puechkaset (2014-12-20). "มันแกว และการปลูกมันแกว | พืชเกษตร.คอม".
- ↑ Zanklan, A. Séraphin; Becker, Heiko C.; Sørensen, Marten; Pawelzik, Elke; Grüneberg, Wolfgang J. (2018-03-01). "Genetic diversity in cultivated yam bean (Pachyrhizus spp.) evaluated through multivariate analysis of morphological and agronomic traits". Genetic Resources and Crop Evolution (ภาษาอังกฤษ). 65 (3): 811–843. doi:10.1007/s10722-017-0582-5. ISSN 1573-5109.
- ↑ 17.0 17.1 สาวบางแค22 (2563-04-12). "มันแกวกุดรัง ปลูกง่าย กำไรงาม ลงทุนหลักพัน โกยกำไรทะลุหมื่น". เทคโนโลยีชาวบ้าน.
- ↑ K. Gupta et al. SALAD CROPS | Root, Bulb, and Tuber Crops. 2003.
- ↑ "เกษตรกรกหันมาปลูก "มันแกว" ปลูกง่าย สร้างรายได้แบบสบายๆ เฉลี่ยสูงถึงไร่ละเกือบ 5 หมื่นบาท..!?? (ชมคลิป)". ทีนิวส์. 2018-02-18.
- ↑ 20.0 20.1 จันทร์สุดา คำปัน, พรชุลีย์ นิลวิเศษ, บำเพ็ญ เขียวหวาน. สภาพการผลิตและความต้องการการส่งเสริมการผลิตมันแกวของเกษตรกร ในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2556.
- ↑ "พืชมีพิษ". www.rspg.or.th.